Wednesday, November 7, 2012

วันบิดาแห่งฝนหลวง (14 พฤศจิกายน)

วันบิดาแห่งฝนหลวง (14 พฤศจิกายน)

 

วันบิดาแห่งฝนหลวง
ทุกวันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี

วันบิดาแห่งฝนหลวง

ความเป็นมาของโครงการพระราชดำริฝนหลวง
ต้นกำเนิดโครงการพระราชดำริฝนหลวง
“…แต่มาเงยดูท้องฟ้า มีเมฆ ทำไมมีเมฆอย่างนี้ ทำไมจะดึงเมฆนี่ลงมาให้ได้
ก็เคยได้ยินเรื่องการทำฝน ก็มาปรารภกับคุณเทพฤทธิ์ ฝนทำได้มี มีหนังสือ เคยอ่านหนังสือทำได้…”
วันบิดาแห่งฝนหลวง

วันบิดาแห่งฝนหลวง (14 พฤศจิกายน)

โครงการ พระราชดำริฝนหลวง เป็นโครงการที่ก่อกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ที่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่ออุปโภคบริโภค และเกษตรกรรม อันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้งซึ่งมีสาเหตุมาจาก ความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ กล่าวคือ ฤดูฝนเริ่มต้นล่าเกินไป หรือหมดเร็วกว่าปกติหรือฝนทิ้งช่วงยาวในช่วงฤดูฝน จากพระราชกรณียกิจ ในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร ในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอนับแต่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ จนตราบเท่าทุกวันนี้ ทรงพบเห็นว่าภาวะแห้งแล้ง ได้ทวีความถี่ และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงยิ่งขึ้นตามลำดับ เพราะนอกจากความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติแล้ว การตัดไม้ทำลายป่า ยังเป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร ในทุกภาคของประเทศ ทำความเสียหายแก่เศรษฐกิจโดยรวมของชาติเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี
ตาม เส้นทางที่เคยเสด็จพระราชดำเนิน ทั้งภาคพื้นดิน ทางอากาศยานดังกล่าว ทรงสังเกตเห็นว่ามีเมฆปริมาณมากปกคลุมท้องฟ้า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกัน จนเกิดเป็นฝนได้ เป็นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงระยะยาวทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคำนึงว่า น่าจะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ ทรงเชื่อมั่นว่า ด้วยลักษณะของกาลอากาศ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคเขตร้อน และอยู่ในอิทธิพลของฤดูมรสุมของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นฤดูฝน และเป็นฤดูเพาะปลูกประจำปีของประเทศไทย จะสามารถดัดแปรสภาพอากาศ ให้เกิดเป็นฝนตกได้ อย่างแน่นอน
ตามที่ทรงเล่าไว้ จาก พ.ศ. 2498 เป็นต้นมา ทรงศึกษาค้นคว้า และวิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการอุตุนิยมวิทยา และการดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งทรงรอบรู้ และเชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับทั้งใน และต่างประเทศ จนทรงมั่นพระทัย จึงพระราชทานแนวคิดนี้แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรม ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขณะนั้น ในปีถัดมา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทำให้เกิดการทดลองปฏิบัติการในท้องฟ้าให้เป็นไปได้
การทดลองในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก จนถึงปี พ.ศ. 2512 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบิน ปราบศัตรูพืชกรมการข้าว และพร้อมที่จะให้การสนับสนุน ในการสนองพระราชประสงค์ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบว่า พร้อมที่จะดำเนินการ ตามพระราชประสงค์แล้ว ดังนั้นในปีเดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อำนวยการโครงการ และหัวหน้าคณะปฏิบัติการทดลอง เป็นคนแรก และเลือกพื้นที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็นพื้นที่ทดลองเป็นแห่งแรก โดยทดลองหยอดก้อนน้ำแข็งแห้ง (dry ice หรือ solid carbondioxide) ขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทำให้กลุ่มเมฆ ทดลองเหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ของเมฆอย่างเห็นได้ชัดเจน เกิดการกลั่นรวมตัวกันหนาแน่น และก่อยอดสูงขึ้นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ ในเวลาอันรวดเร็วแล้วเคลื่อนตัวตามทิศทางลม พ้นไปจากสายตา ไม่สามารถสังเกตได้ เนื่องจากยอดเขาบัง แต่จากการติดตามผลโดยการสำรวจทางภาคพื้นดิน และได้รับรายงานยืนยันด้วยวาจาจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่ทดลองวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด นับเป็นนิมิตหมายบ่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้



พระบิดาแห่งฝนหลวง

พระ ราชกรณียกิจและพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อประชาชนและประเทศชาติในโครงการพระราชดำริฝนหลวงมีมากมายนานัปการ ทรงเป็นผู้ให้กำเนิด “ฝนหลวง” จากพระราชดำริเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงพบเห็นความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนในถิ่นทุรกันดารอันเนื่องมากจาก ความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนของฝนตามธรรมชาติ ดังข้อความในพระราชบันทึกพระราชทานว่า “....เมื่อมีฝนก็มีมากเกินพอ จนเกิดปัญหาน้ำท่วม เมื่อหมดฝนก็เกิดปัญหาภัยแล้งตามมา นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของความยากจนของประชาชน เมื่อแหงนมองท้องฟ้ามีเมฆมาก แต่ลดพัดพาผ่านไปไม่ตกเป็นฝนน่าจะมีวิธีบังคับให้ฝนตกสู่พื้นที่แห้งแล้ง ได้....” พระองค์จึงทรงทุ่มแทและเสียสละเวลา และพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อ ใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวงด้วยพระวิริยะอุตสาหะและพระเมตตาที่มีต่อ ประชาชนที่ได้รับความทุกข์ยากจากภัยแล้ง ทรงทำการศึกษาทบทวน และวิเคราะห์วิจัยจนทรงสามารถค้นพบและสรุปเป็นข้อ สมมติฐาน ทำให้เกิดการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าได้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ ทรงทำการวิจัยและพัฒนากรรมวิธีควบคู่กับการพระราชทานข้อแนะนำทางเทคนิคต่าง ๆ ในการทำฝนกู้ภัยแล้ง ทรงสนพระทัยและติดตามผลการปฏิบัติการฝนหลวงอย่างต่อเนื่อง หากเกิดวิกฤตการณ์ภัยแล้งอย่างกว้างขวางและรุนแรงของประเทศ พระองค์จะทรงพระราชทานข้อแนะนำทางเนคนิคในการวางแผน และปรับแผนการทำฝนเทียม ให้ได้ผลดียิ่งขึ้น บางครั้งได้พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เข้าช่วยเหลืออีกด้วย “โครงการฝนหลวง” สามารถแก้ไขวิกฤตภัยแล้งได้สำเร็จเป็นอย่างดี
ในปัจจุบันโครงการหลวงมีภารกิจทำฝนหลวงเพื่อแก้ไขภัยแล้ง ป้องกันฝนทิ้งช่วงและเพิ่มปริมาณน้ำให้กับเขื่อนต่าง ๆ และทำฝนหลวงเพื่อทำการชุ่มชื้นให้พื้นที่เกษตรกรรม และป่าไม้ในช่วงฤดูฝน ตามแนวพระราชทานนโยบายเพื่อลดการใช้น้ำจากเขื่อน ลดโอกาสเกิด ไฟป่าและทำฝนดับไฟป่า เพื่อช่วยลดความเสียหายจากไฟป่าได้อย่างมาก ด้วย โครงการฝนหลวงได้ปฏิบัติงาน ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติมาโดยตลอด ดังนั้นคณะรัฐมนตรีในการประชุมวันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงมีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถวายพระราชสมัญญา “พระบิดาแห่งฝนหลวง” และกำหนดให้วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันพระราชบิดาแห่งฝนหลวง
ข้อมูลจาก : http://www.aksorn.com

0 comments:

Post a Comment