Thursday, October 25, 2012

ความสำคัญของวันออกพรรษา

รูปภาพ

ความสำคัญของวันออกพรรษา

วันออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่ง ระบุตามปฏิทินจันทรคติไทย
เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ถัดจากวันออกพรรษา 1 วัน พุทธศาสนิกชนนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า
ตักบาตรเทโว หรือตักบาตรเทโวโรหนะ สืบเนื่องจากพุทธประวัติที่ว่า ในวันออกพรรษา

พระ พุทธเจ้าได้เสด็จกลับจากเทวโลก หลังจากการโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
นอกจากนี้แล้วพุทธศาสนิกชนยังนิยมไปฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีล (ศีลแปด) ด้วย
วัน ออกพรรษา คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน (นับแต่วันเข้าพรรษา) เรียก
อีกอย่างหนึ่งว่า "วันมหาปวารณา" คำว่า "ปวารณา" แปลว่า "อนุญาต" หรือ "ยอมให้" ในวันออก
พรรษานี้พระสงฆ์จะ ประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ เรียกว่า
มหาปวารณา เป็นการเปิดโอกาสให้
ภิกษุว่ากล่าวตัก เตือนกันได้ เพราะในระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้อง
แก้ไข การให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ทำให้ได้รู้ข้อบกพร่องของตน และยังเปิดโอกาสให้ซักถาม
ข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วย
ในวันออกพรรษา นี้กิจที่ชาวบ้านมักจะกระทำก็คือ การบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตร จัด
ดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา ของที่ชาวพุทธนิยมนำไปใส่บาตร
ในวันนี้ก็คือ ข้าวต้มมัดไต้ และข้าวต้มลูกโยน และการร่วมกุศลกรรม การ
"ตักบาตรเทโว"
คำว่า "เทโว" ย่อมาจาก "เทโวโรหน" แปลว่าการเสด็จจากเทวโลกการตักบาตรเทโว จึงเป็นการ
ระลึกถึงวันที่ พระพุทธองค์เสด็จกลับจากการโปรด พระพุทธมารดาในเทวโลก
ในหมู่ชาวไทยและ ชาวลาวริมฝั่งแม่น้ำโขง เชื่อว่าในช่วงวันออกพรรษา จะเกิดปรากฏการณ์

บั้ง ไฟพญานาค ขึ้นในเวลา กลางคืน ที่ จังหวัดหนองคาย

วันออกพรรษา

วันออกพรรษา

วันออกพรรษา เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของชาวพุทธ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี
เทศกาลออกพรรษานับจากวันเข้าพรรษา คือวันแรม 1 ค่ำเดือน 8 เป็นเวลา 3 เดือนเต็ม ที่พระสงฆ์จะต้องจำพรรษาอยู่ ณ วัดใดวัดหนึ่ง ไม่ออกเดินทางไปเหยียบข้าวกล้าในนาให้เสียหายในฤดูฝน และใช้เวลาดังกล่าวศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยต่าง ๆ จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 จึงได้เวลาออกพรรษา ซึ่งวันพ้นข้อกำหนดดังกล่าวเรียกว่า “วัน ออกพรรษา” เมื่อครบกำหนดการจำพรรษา พระภิกษุก็สามารถจาริกไปค้างแรมที่อื่นได้ ก่อนจะแยกย้ายไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในวันนี้จะมีการชุมนุมพระสงฆ์จำนวนมาก และทำพิธีออกวัสสาปวารณา คือ การเปิดโอกาสให้พระภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ด้วยเมตตาจิต เมื่อได้เห็น ได้ฟัง หรือสงสัยในพฤติกรรมของกันและกัน วันเข้าพรรษาจึง เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า วันปวารณา หรือ วันมหาปวารณา นั่นเอง
พิธีออกวัสสาปวารณา มีสืบเนื่องมาจากธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งของพุทธสาวกในสมัยพุทธกาลคือ จะพากันเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าหลังจากออกพรรษาหมดฤดูฝน เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสถามถึงสิ่งที่พระภิกษุได้ประพฤติปฏิบัติในระหว่างจำ พรรษา ก็ได้ทรงทราบว่า มีพระภิกษุกลุ่มหนึ่งได้ตั้งกติกากันเองว่าจะไม่พูดจากัน ด้วยเกรงว่าเกรงว่าในช่วงจำพรรษาด้วยกันจะเกิดการขัดแย้งทะเลาะวิวาท จนอยู่ไม่สุขตลอดจำพรรษา พระพุทธเจ้าก็ทรงตำหนิว่าการประพฤติดังกล่าวเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ที่พึงมี พึงได้ จึงทรงวางระเบียบวินัยให้เป็นหลักปฏิบัติสืบต่อมาว่า หลังจากที่จำพรรษาครบสามเดือน ในวันออกพรรษาให้ภิกษุทำพิธีออกวัสสาปวารณาแทนการสวดพระปาติโมกข์ คือการเปิดโอกาสให้พระภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เมื่อได้เห็น ได้ฟัง หรือสงสัยในพฤติกรรมของกันและกัน ผู้ว่ากล่าวตักเตือนจะต้องทำด้วยเมตตา ปรารถนาดีต่อผู้ถูกตักเตือนทั้งกาย วาจา และใจ ส่วนผู้ถูกว่ากล่าวตักเตือนก็ต้องมีใจกว้าง มองเห็นความปรารถนาดีของผู้ตักเตือน ถ้าไม่จริงก็สามารถชี้แจงแสดงเหตุผลให้กระจ่างได้ แต่หากเป็นจริงตามคำกล่าวตักเตือนก็ต้องปรับปรุงตัวใหม่ โดยทั้งสองฝ่ายต้องคิดว่าทักท้วงตักเตือนเพื่อก่อ และรับฟังเพื่อแก้ไข อันจะสร้างความสมัครสมานสามัคคีและดำรงความบริสุทธิ์หมดจดไว้ในสังคมพระสงฆ์ ตรงกับความมุ่งหมายของการปวารณา
หลักการปวารณาในวันออกพรรษา ยึดความเมตตาต่อกันเป็นที่ตั้ง คือ ถ้าจะติก็ติด้วยความหวังดีไม่ใช่ทำลายอีกฝ่าย ส่วนผู้ถูกติก็ควรรับฟังด้วยดีและมองเห็นความหวังดีของผู้ว่ากล่าว จึงเป็นหลักการที่พุทธศาสนิกชนทุกคนทุกหมู่เหล่า สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี ทั้งในครอบครัว สถานศึกษาหรือในสถานที่ทำงาน
หมายเหตุ: การสวดพระปาติโมกข์หรือ เรียกอีกอย่างว่า ลงอุโบสถกรรม คือ การที่พระสงฆ์สวดสิกขาบท (พระวินัย) 227 ข้อทุกครึ่งเดือนในที่ประชุมสงฆ์ ในที่นี้ มิใช่โอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเป็นการประกาศหลักการอุดมการณ์ และวิธีการปฏิบัติในการเผยแพร่พุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้าเมื่อวันมาฆบูชา
กิจกรรมต่าง ๆ ในเทศกาลออกพรรษาในช่วงเทศกาลออกพรรษา ชาวบ้านส่วนใหญ่ว่างเว้นจากการประกอบอาชีพในไร่นา เพราะกำลังรอผลเก็บเกี่ยว อีกทั้งสภาพดินฟ้าอากาศกำลังสดชื่นแจ่มใส เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ชาวบ้านจึงถือเป็นวิถีปฏิบัติ ในการใช้โอกาสนี้มาทำบุญตักบาตรโดยพร้อมเพรียงกัน เกิดเป็นประเพณี ตักบาตรเทโว ซึ่งย่อมาจาก “เทโวโรหนะ” หมายถึง การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จลงจากเทวโลกกลับมายังโลกมนุษย์ หลังจากแสดงธรรมเทศนาโปรดพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งตามตำนานเล่าว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วพระองค์ได้เสด็จไปเผยแพร่พระศาสนาในแคว้น ต่างๆ ทรงรำลึกถึงพระพุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายา ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่พระองค์ประสูติได้ 7 วัน จึงทรงดำริที่จะสนองคุณ และได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทศนาพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดาและเทวดาทั้งหลายอยู่หนึ่งพรรษา ครั้นหลังวันออกพรรษา 1 วัน หรือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 พระองค์เจ้าจึงได้เสด็จลงมาประทับที่เมืองสังกัสสะ ประชาชนต่างพากันไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อทำบุญตักบาตรกันอย่างเนืองแน่น ชาวพุทธจึงถือเอาวันนี้เป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากเทวโลกมาสู่ เมืองมนุษย์ และนิยมตักบาตรกันเป็นพิเศษ อีกทั้งทำสืบต่อมาเป็นประเพณีที่เรียกว่า “ตักบาตรเทโว” มาจนถึงทุกวันนี้
เล่ากันอีกว่าในวันนี้มีเทวดาจำนวนมากได้ตามส่งเสด็จอย่างสมพระเกียรติ พระพุทธองค์จึงทรงเนรมิตให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกมองเห็นกันและกันตลอดทั้ง 3 โลก คือ สวรรค์ มนุษย์ และนรก อีกทั้งในวันนี้การลงโทษในเมืองนรกได้ยุติลงชั่วคราว จึงเรียกวันนี้อีกอย่างว่าเป็นวัน “วันพระเจ้าเปิดโลก
ของทำบุญที่นิยมกันเป็นพิเศษในประเพณีตักบาตรเทโว นอกจากข้าวปลาอาหารธรรมดาแล้วก็มีข้าวต้มมัด หรือเรียกว่าข้าวต้ม ลูกโยน โดยจะเอาข้าวเหนียวมาห่อด้วยใบมะพร้าวไว้หางยาว กล่าวกันว่า ที่นิยมทำข้าวต้มลูกโยนคงเป็นเพราะ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จลงมาจากเทวโลก พระบรมศาสดาถูกห้อมล้อมด้วยมนุษย์และเทวดาจำนวนมาก ทำให้ผู้ที่เข้าไม่ถึง คิดวิธีใส่บาตรโดยโยนเข้าไปและที่ไว้หางยาวก็เพื่อให้โยนได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งการโยนลักษณะนี้คงเกิดขึ้นภายหลัง มิใช่สมัยพระพุทธองค์จริงๆ และทำให้เป็นนัยยะมากกว่า เพราะปัจจุบันจะใช้การแห่พระพุทธรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า
จังหวัดที่จัดงานตัก บาตรเทโวอย่างยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ คือ จังหวัดอุทัยธานี นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นแต่ละภูมิภาค ก็จัดกิจกรรมต่าง ๆ ในเทศกาลออกพรรษาสอดคล้องกับวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ท้องถิ่นของตนเอง เช่น การถวาย ต้นดอกผึ้ง หรือ ปราสาทผึ้ง การล่องเรือไฟ เทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาคในภาคอีสาน ส่วนในภาคเหนือที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีการจัดทำปราสาทจำลอง ที่เรียกว่า จองพารา ภาคใต้มีประเพณีชักพระหรือลากพระทั้งทางบกและทางน้ำ ในหลายจังหวัด เป็นต้น
แนวทางปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนในวันออกพรรษา นอกจากหลักปวารณาที่ได้กล่าวไปแล้ว ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สถานที่ทำงานหรือสถานศึกษาควรจะได้ร่วมกันปฏิบัติธรรม และจัดพิธีกรรมทางศาสนา เช่น ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม รักษาศีล ไหว้พระสวดมนต์ สนทนาธรรม และเจริญภาวนาเพื่อเป็นการชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ แจ่มใส อันเป็นมงคลในการดำเนินชีวิต
หลังออกพรรษาแล้ว จะเป็นช่วงเทศกาลกฐิน เป็นเวลา 1 เดือน คือตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12

วันออกพรรษา

ประวัติวันออกพรรษา

วันออกพรรษา
วันออกพรรษา หรือ วันปวารณาออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งในประเทศไทย วัน ออกพรรษา คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน (นับตั้งแต่วันเข้าพรรษา) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วันมหาปวารณา” คำว่า “ปวารณา” แปลว่า “อนุญาต” หรือ “ยอมให้” ใน วันออกพรรษา นี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ เรียกว่า มหาปวารณา เป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เพราะในระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข การให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ทำให้ได้รู้ข้อบกพร่องของตน และยังเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วยซึ่งจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (ประมาณเดือนตุลาคม) หลังวันเข้าพรรษา 3 เดือน ตามปฏิทินจันทรคติไทย

สำหรับ คำกล่าว ปวารณา มีคำกล่าวเป็นภาษาบาลีเป็นดังนี้ “สังฆัมภัน เต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ” มีความหมายว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้วจักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี
การออกพรรษานั้น ถือเป็นข้อปฏิบัติตามพระวินัยสำหรับพระสงฆ์โดยเฉพาะจัดเป็นญัตติกรรมวาจา สังฆกรรมประเภทหนึ่ง ที่ถูกกำหนดโดยพระวินัยบัญญัติให้โอกาสแก่พระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ร่วมกันตลอด เมื่อถึง วันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ และวันถัดจาก วันออกพรรษา 1 วัน (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยยังนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหนะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า ในวันถัด วัน ออกพรรษา หนึ่งวัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ในพรรษาที่ 7 เพื่อลงมายังเมืองสังกัสสนคร พร้อมกับทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสามด้วย
วันออกพรรษา
กิจกรรมในวันออกพรรษา
วันออกพรรษา นี้พุทธศาสนิกชนถือว่าเป็นโอกาศอันดีที่จะกระทำ การบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตร จัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระที่วัดและฟังพระธรรมเทศนา ของที่ชาวพุทธนิยมนำไปใส่บาตรในวันนี้ก็คือ ข้าวต้มมัดไต้ และข้าวต้มลูกโยน และการร่วมกุศล “ตักบาตรเทโว” ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11
1. ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ
2. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา
3. ร่วมกิจกรรม “ตักบาตรเทโว” (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11)
4. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการและประดับธงชาติ และธงธรรมจักร ตามวัดและสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
5. ตามสถานที่ราชการ สถานที่ศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มีนิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับ วันออกพรรษา เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจทั่วไป
กิจกรรม ประเพณีวันออกพรรษา ของไทย
1. ประเพณีออกพรรษา แห่ปราสาทผึ้ง และการแข่งขันเรือยาว จังหวัด สกลนคร
2. ประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด จังหวัด แม่ฮ่องสอน
3. ประเพณีตักบาตรเทโว จังหวัด อุทัยธานี
4. ประเพณีบุญแห่กระธูป จังหวัด ชัยภูมิ
5. ประเพณีชักพระ ทอดพระป่า และแข่งขันเรือยาว จังหวัดสุราษฎร์ธานี
6. งานเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาค จังหวัด หนองคาย
7. ประเพณีลอยผาสาด ดารดาษนทีโขง จังหวัด เลย
8. เทศกาลงานบุญออกพรรษา จังหวัดมุกดาหาร
9. ทำบุญตักบาตรสองแผ่นดิน เหนือสุดในสยาม จังหวัด เชียงราย
10. งานประเพณีลากพระและมหกรรมวัฒนธรรมสัมพันธ์ จังหวัดตรัง
11. ประเพณีแข่งโพนลากพระ จังหวัด พัทลุง

วันมหาปวารณา (วันออกพรรษา)

Monday, October 15, 2012

10 สิ่งที่ควรทำเมื่อคุณขับรถชน

10 สิ่งที่ควรทำเมื่อคุณขับรถชน

                
เนื้อความ จากข่าวดังที่ดาราหนุ่มขับรถชนคนตายนั้นกลายเป็นที่สนใจของคนทั่วไป วันนี้เรามาดูกันว่า หากเราขับรถไปชนกับคนอื่น หรือถูกชนเราควรทำอย่างไร
1. หยุดรถ ให้หยุดรถทันทีแม้ว่าจะเห็นว่าเป็นอุบัติเหตุเล็กน้อยเพียงใด อย่าเลื่อนรถจนกว่าจะตกลงกันได้ว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นจากสาเหตุใด และ ใครเป็นคนผิดหรือถ้าจะให้ดีควรรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำการตีเส้น อุบัติเหตุก่อน แล้วจึงค่อยเลื่อนรถเว้นแต่จะเกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยวในกรณีนี้ให้คุณจด เลขทะเบียนรถคู่กรณีสี ยี่ห้อ ตำหนิ เวลาและสถานที่เกิดเหตุเอาไว้ แล้วขับต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงที่ชุมชน หรือพบตำรวจอย่าจอดรถในที่เกิดเหตุเป็นอันขาดเพราะเคยมีเหตุการเจ้าของรถถูก จี้ หรือถูกทำร้ายบ่อยๆเมื่อลงจากรถ หลังเกิดเหตุในที่เปลี่ยว
2. อย่าพูดพล่อยการขอโทษของคุณอาจจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายอ้างขึ้นมาว่าคุณยอมรับ เป็นฝ่ายผิด อีกทั้งไม่ควรกล่าวโทษอีกฝ่าย เพราะคุณยังไม่รู้ท่าทีของอีกฝ่ายการกล่าวโทษอาจทำให้เหตุการเลวร้ายลงไปอีก จำไว้เสมอว่าคุณไม่มีอำนาจในการตัดสินว่าใครผิดใครถูก แม้แต่เวลาที่คุณคิดว่าคุณเป็นฝ่ายผิด คุณอาจจะไม่ผิดอย่างที่คิดก็ได้
3.ให้ข้อมูล ให้คุณให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณ ชื่อ- ที่อยู่เลขทะเบียนรถ และ ชื่อประกันที่คุณ มีแก่คู่กรณี หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ
4.หาข้อมูล หลังจากคุณให้ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นแล้ว คุณควรขอข้อมูลจากคู่กรณีด้วยเช่นเดียวกัน หากอีกฝ่ายไม่ให้ ก็ให้คุณจดเลขทะเบียน รูปพรรณของรถเอาไว้ อย่า !พยายามยึดใบขับขี่ของคู่กรณีเพราะคุณอาจโดนข้อหาลักทรัพย์
5.แจ้งตำรวจหลังเกิดเหตุคุณควรแจ้ง ตำรวจทุกครั้งแม้จะเป็นเพียงอุบัติเหตุเล็กน้อย หรืออีกฝ่ายยอมรับผิดก็ตาม เพราะมิฉะนั้นแล้วหากอีกฝ่าย แจ้งความในภายหลังเจ้าหน้าที่จะสรุปว่าคุณหลบหนีและคุณจะเป็นฝ่ายผิดทุกกรณี หากเจ้าหน้าที่ยังไม่มาให้คุณไปแจ้งความยังสถานีตำรวจ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดูที่เกิดเหตุและตีเส้นตำแหน่งรถอย่าเลื่อนรถจนกว่าเจ้า หน้าที่จะมาถึงหากไม่สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ ให้คุณทำหนังสือยืนยันเหตุการที่เกิดขึ้นไว้เป็นหลักฐาน โดยลงชื่อยืนยันไว้ทั้ง 2 ฝ่ายอย่าหลงเชื่อคู่กรณี หากบอกว่าไม่ต้องแจ้งตำรวจ เพราะอีกฝ่ายอาจปฏิเสธความรับผิดชอบในภายหลังในกรณีนี้หากคุณไม่มีเจ้า หน้าที่เป็นพยาน หรือหนังสือยืนยัน ตามกฏหมายจะถึงว่าคำพูดของคุณอ่อนหลักฐาน
6.หาพยาน โดยสอบถามจากคนบริเวณที่เกิดเหตุอาจเป็นคนเดินถนน หรือรถคันข้าง ๆหากเขายินยอมเป็นพยาน ให้คุณจดชื่อ-ที่อยู่เพื่อติดต่อเอาไว้ เพื่อในกรณีเหตุที่ซับซ้อน เช่นคุณกำลังเข้าถนน 4 เลน รถ 2 เลนแรกหยุดให้คุณแล้ว แต่คุณชนรถในเลนที่ 3 ในกรณีนี้คุณอาจเป็นฝ่ายผิดหากไม่สามารถหาพยานมายืนยันได้
7.ไปโรงพยาบาลหากคุณสงสัยว่าได้รับ บาดเจ็บควรไปพอแพทย์เพื่อตรวจ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายและการเรียกร้องค่าเสียหายใน ภายหลังจะยากขึ้นด้วย
8.แจ้งความ ในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจะต้องไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ทันที แม้กฏหมายจะผ่อนปรนให้แจ้งความใน 6 เดือน เพราะ บริษัทประกันส่วนใหญ่ไม่รับรองใบแจ้งความย้อนหลัง
9.ตกลงเงื่อนไขการจ่ายค่าเสียหายเรียกเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาทันทีที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่สามารถแนะนำคุณได้ว่า ควรให้บริษัทชดใช้
หรือ คุณควรจ่ายเอง เพราะเบี้ยประกันของคุณอาจเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ20 หากค่าชดใช้นั้นเกินกว่าเบี้ยประกัน ร้อยละ 200 (ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัทประกัน) หากต้องชดใช้ 2,100 บาทค่าเบี้ยประกันของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,200 บาท คุณอาจจะประหยัดได้มากว่า หากจ่ายเงินชดใช้ 2,100 บาทเอง

10.อย่ารีบรอมชอม หลังอุบัติเหตุหากอีกฝ่ายยอมรับเป็นฝ่ายผิด และคุณสงสัยว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บอย่าเพิ่งรีบรับข้อเสนอให้ยอมความ เพราะ การบาดเจ็บของคุณอาจจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่าอาการของคุณรุนแรงเพียง ใดหากคุณยอมความไปแล้วการเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติม จะทำได้ยากขึ้นแต่ถ้าคุณไม่ได้รับบาดเจ็บและข้อเสนออีกฝ่ายเป็นที่น่าพอใจ ก็ให้คุณยอมความได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น จากสถิติอุบัติเหตุ ร้อยละ 70 เกิดจากความประมาท การระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำแนะนำทั้ง 10จะเป็นการดีที่สุด

กำจัดหนี้บัตรเครดิตด่วน!!!

กำจัดหนี้บัตรเครดิตด่วน!!!



กำจัดหนี้บัตรเครดิตด่วน!!!


1. ต้องรู้ตัวว่าเรากำลังมีปัญหาเกิดขึ้น สาเหตุก็มาจากใช้เงินในอนาคตเยอะเกินไป หรือถ้าเป็นเพราะเหตุจำเป็นอย่างเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยก็น่าเห็นใจ แต่ถ้ามองดูแล้วรายจ่ายที่ลิสท์มาทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นทั้งนั้น ก็ต้องเริ่มสร้างกติกากับตัวเองว่าขอเป็นแค่เดินช้อปปิ้งด้วยสายตา
2. ลดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ช่วยให้เกิดการช้อปปิ้งเกินกว่าเหตุลง เช่น ถ้ามีบัตรเครดิตอยู่ 3 ใบ ก็หยิบออกมาเก็บไว้ที่บ้านซะ แล้วเหลือพกติดกระเป๋าไว้แค่ 1 ใบ (ข้อนี้ต้องบังคับตัวเองให้ได้) จะได้ไม่สร้างหนี้ที่ไม่จำเป็นเกิดขึ้นอีก
3. พยายามใช้จ่ายด้วยเงินสดให้มากขึ้น เพื่อลดหนี้สินอนาคตให้ลดลง
4. เริ่มจัดสรรรายได้ต่อเดือนดูว่าเรามีค่าจำเป็นที่ต้องใช้เป็นอะไรบ้าง และเท่าไหร่
5. ดูว่าถ้าจ่ายผ่อนชำระหนี้แต่ละเดือนแบบเต็มวงเงิน แล้วยังมีเงินเหลือพอใช้จ่ายในเดือนนั้นด้วยได้มั้ย
 
 6. ถ้าต้องจ่ายแบบเต็มวงเงินแล้วเหลือรายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ก็ต้องรีไฟแนนซ์ยืดหนี้ออกไป โดยจะต้องหารีไฟแนนซิ่งที่ดอกเบี้ยต่ำกว่า ถ้ามีหนี้สินบัตรเครดิต 3 ใบ อาจจะเลือกรีไฟแนนซ์แค่ 1-2 ใบก็พอ วิธีนี้จะช่วยให้สามารถผ่อนจ่ายหนี้สินได้ดี และมีเงินเหลือใช้จ่ายอย่างเพียงพอด้วย เพราะภาระหนี้ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนจะลดลง แต่ก็ต้องจำไว้ด้วยว่าเราจะต้องมีหนี้สินที่นานมากขึ้น อาจจะจาก 20 เดือนเป็น 42 เดือนแทน แต่ทางที่ดีถ้ามีเงินก็ให้จ่ายให้เยอะที่สุดเพื่อลดหนี้ให้เหลือน้อยที่สุด ด้วย
7. ถ้ายืดอายุหนี้ออกไปแล้วยังมีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายล่ะ ก็อาจจะต้องขายของที่ไม่จำเป็นออกไป อย่างเครื่องประดับที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้เลย เป็นวิธีเปลี่ยนสิ่งของมีค่าที่ไม่จำเป็นให้กลายเป็นเงินสด วิธีนี้จะช่วยลดหนี้ให้เร็วขึ้น และเป็นการเตือนให้เรารู้ตัวด้วยว่าที่ผ่านมาเราหลงซื้อของไม่จำเป็นมากมาย แค่ไหน
8. หาทางเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น อย่างงานเล็กๆน้อยๆหลังเลิกงาน วิธีนี้นอกจากจะทำให้เราได้รายได้เพิ่มขึ้นบ้างแล้ว ยังช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมเราด้วย ทำให้รู้ถึงความลำบากในการหาเงินและลดพฤติกรรมการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยให้ลดลง เพราะต้องแบ่งเวลาให้กับการทำงานมากขึ้น
   จะให้ดีที่สุด...ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าใช้เลยบัตรเครดิต...มันทำให้เราต้องการของต่างๆได้ง่ายๆโดยไม่ยับยั้งใจได้ง่ายๆด้วย...ใครมีประสบการณ์เรื่องนี้ก็แบ่งปันกันได้นะคะ

สัญญาณเตือนภัยว่าคุณกำลังจะกลายเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

สัญญาณเตือนภัยว่าคุณกำลังจะกลายเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว 


                           
  สัญญาณเตือนภัยว่าคุณกำลังใช้จ่ายเกินตัวและฐานะทางการเงิน และชีวิตเริ่มเข้าสู่ความยากลำบาก ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยจากการมีหนี้สินล้นพ้นตัว
ตัวอย่างเช่น
1. รายได้ส่วนหนึ่งถูกใช้ชำระหนี้เพิ่มมากขึ้น
2. จ่ายเงินชำระหนี้บัตรเครดิตหรือเงินกู้ด้วยจำนวนเงินต่ำสุดเท่าที่เจ้าหนี้ยอมรับ
3. ใช้เต็มวงเงินกู้ของบัตรเครดิต
4. ต้องเอาเงินส่วนอื่นมาจ่ายชำระเงินตามใบเรียกเก็บเงิน
5. ใช้บัตรเครดิตชำระเงินแทนเงินสดซึ่งมิใช่นิสัยปกติ
6. ผัดผ่อนไม่ไปหาหมอเพราะเงินตึงมือ
7. ถูกเตือนให้จัดการตามใบเรียกหนี้ค้างชำระบ่อยครั้ง
8. ต้องทำงานล่วงเวลาหรืองานพิเศษเพื่อหาเงินมาใช้หนี้
9. หากตกงานจะเกิดปัญหาการเงินทันที
10.วิตกกังวลเรื่องเงินเสมอ

ถ้าปรากฏสภาพหนึ่งสภาพใดข้างต้น ก็ถือเป็นสัญญาณแจ้งภัยแห่งการมีหนี้สินล้นตัวแล้ว สาเหตุเนื่องมาจากมาจากความไม่สมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่าย
วิธีแก้ไข  1. ต้องหารายได้ให้พอกับรายจ่ายที่เกิดขึ้น      
       2. ลดรายจ่ายลงให้พอดีหรือต่ำกว่ารายได้

วิเคราะห์ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ

                     

วิเคราะห์ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ

                              โดย รองศาสตราจารย์ วิรัช วิรัชนิภาวรรณ


อุปสรรคของการพัฒนาประเทศเกิดขึ้นได้ จากหลายสาเหตุ เช่น จากผู้นำรัฐบาล ข้าราชการและประชาชน บทความนี้มุ่งเน้นพิจารณาศึกษาอุปสรรคที่เกิดจากประชาชนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลักษณะอุปนิสัยบางประการของประชาชนคนไทยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ 30 ประการ ดังต่อไปนี้
1. เชื่อเรื่องเวรกรรม คนไทยมีความเชื่อมูลฐานในเรื่องเวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือสวรรค์นรก โดยเชื่อว่าคนที่มีฐานะและความเป็นอยู่แตกต่างกัน เป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต เช่น คนมีฐานะร่ำรวยมีอำนาจวาสนาเพราะเมื่อชาติก่อนหรือแม้กระทั่งชาตินี้ คนนั้นหรือบิดามารดาของคนนั้นได้สร้างบุญกุศลไว้มาก จึงเกิดมารวยและสบาย ตรงกันข้ามคนที่มีฐานะยากจน เพราะเมื่อชาติก่อนได้สร้างบาปกรรมไว้มาก และทำบุญน้อยจึงเกิดมาลำบากหรือเกิดมาใช้เวรใช้กรรมในชาตินี้ ซึ่งเห็นได้จากถ้อยคำที่ว่า ถ้าคนรวยตายเรียกว่า “สิ้นบุญ” แต่ถ้าคนจนตายเรียกว่า “สิ้นเวรสิ้นกรรม” หรือ "หมดเวรหมดกรรม" เป็นต้น และถ้าหากคนใดไม่เชื่อเรื่องเวรกรรมก็จะถูกห้ามหรือเตือนในทำนองที่ว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" นอกจากนี้แล้ว ถ้าสิ่งใดหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ก็จะกล่าวอ้างว่าเป็นเรื่องของสวรรค์นรกบันดาล เช่น ส่วนหนึ่งเห็นได้จากคำว่า "สวรรค์มีตา"
การที่คนไทยเชื่อและยอมรับสภาพความ แตกต่างของคนในเรื่องฐานะและอำนาจนั้น มีส่วนสำคัญทำให้คนไทยที่มีฐานะยากจนและไม่มีอำนาจขาดความกระตือรือร้นในการ พึ่งตนเองหรือพัฒนาฐานะของตนเอง เพราะเชื่อว่าทำอย่างไรก็ไม่มีทางร่ำรวย มีฐานะ มีหน้ามีตาหรือมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “แข่งเรือแข่งแพแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้” และเมื่อใดก็ตามที่พบอุปสรรค ความยากลำบาก หรือทำสิ่งใดไม่สำเร็จตามใจปรารถนาก็จะเกิดความท้อแท้ใจได้ง่ายพร้อมกับอ้าง ว่าเป็นเรื่องของเวรกรรม ซึ่งอาจเรียกสั้น ๆ ว่า “ดวง” ซ้ำร้ายยังตีความ "สันโดษ" คลาดเคลื่อนอีกด้วย โดยเข้าใจว่าหมายถึง "พอใจในสิ่งที่มี" ทำให้ไม่ดิ้นรนต่อสู้ ไม่กระตือรืนร้น ปล่อยชีวิตไปตามสบาย ทั้ง ๆ ตนเองที่มีความรู้ความสามารถหรือมีศักยภาพที่จะทำงานอื่นได้อีกมาก แต่ไม่ยอมทำ คำว่าสันโดษนั้นน่าจะหมายถึง "ให้พอใจในสิ่งที่มีถ้าสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้" เช่น คนบางคนเกิดมาพิการ สันโดษสอนให้คน ๆ นั้นพึงพอใจและยอมรับในสิ่งที่มีและเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้นั้น ในเวลาเดียวกัน ก็ควรพยายามหาสิ่งอื่นมาชดเชยหรือทดแทน เช่น มุมานะทำงานให้เป็นผู้ชำนาญในด้านอื่นที่ไม่ต้องใช้คุณสมบัติที่ขาดไปนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในบางกรณีคนไทยยังมีอุปนิสัยที่ชอบพูดตอกย้ำต่อไปไม่จบสิ้น เข้าลักษณะ "ถล่มตัวเองให้สะใจ" หรือ "จำในสิ่งที่ควรลืม และลืมในสิ่งที่ควรจำ" ทั้งนี้ เป็นลักษณะของการไม่มุมานะ ไม่พยายามปรับปรุงแก้ไข หรือแม้กระทั่งไม่คิดให้กำลังใจแก่ตนเองในทำนองที่ว่า “พลาดไปประการหนึ่งเป็นครู” "ล้มแล้วรีบลุก" "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" "ไม่มีใครสมบูรณ์ที่สุด" (nobody is perfect) หรือ "บางครั้งชนะ บางครั้งแพ้" (sometimes we win, sometimes we lose หรือ we win some, we lose some)
ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ฝังใจอยู่ กับความเชื่อเรื่องเวรกรรมนี้ ทำให้คนไทยปล่อยตัวปล่อยใจไปตามเวรตามกรรม โดยปล่อยตัวตามสบาย ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่มุมานะดิ้นรนต่อสู้ ไม่ทะเยอทะยาน และไม่เข้ามาร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคม ดังนั้น จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่ทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะความรู้ความสามารถของคนไทยไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่และ คุ้มค่า
2. ถ่อมตัวและยอมรับชนชั้นในสังคม จากการศึกษาประวัติศาสตร์พบว่า ก่อนการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โครงสร้างของสังคมไทยได้แบ่งเป็น 2 ชนชั้น ชนชั้นแรก คือชนชั้นปกครอง ซึ่งประกอบด้วยเจ้า นาย หรือขุนนาง อีกชนชั้นก็คือ ชนชั้นที่ถูกปกครอง ประกอบด้วยไพร่ คนธรรมดา สามัญชนและชาวนา แม้เวลาจะล่วงเลยมา โครงสร้างชนชั้นในสังคมดังกล่าวยังคงมีให้เห็นแต่อาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่น ชนชั้นที่ได้เปรียบกับชนชั้นที่เสียเปรียบ หรือชนชั้นร่ำรวยกับชนชั้นยากจน สำหรับชนชั้นปกครองในปัจจุบันก็คือ นักการเมืองระดับสูง ข้าราชการระดับสูง พ่อค้านักธุรกิจนายทุน และคนร่ำรวย ส่วนชนชั้นที่ถูกปกครองคือ คนธรรมดาสามัญ ชาวไร่ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน หรือชาวบ้าน เป็นต้น
การแบ่งคนในสังคมออกเป็น 2 ชนชั้นนี้ มิใช่เป็นเรื่องแปลกหรือน่าเสียหาย เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาของสังคมทั่วโลก แต่ส่วนที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศคือ การที่คนไทยถ่อมตัวหรือเจียมเนื้อเจียมตัวและยอมรับสภาพที่เป็นผู้ถูกปกครอง ด้วยดีตลอดเวลา เช่น ยอมรับสภาพที่ยากจน พอใจรายได้ที่มีอยู่ ให้ความเคารพเชื่อฟังและยกย่องผู้มีอำนาจอย่างเกินกว่าเหตุ ไม่โต้เถียงโต้แย้งผู้มีอำนาจ ไม่แสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้ง และไม่พัฒนาตนเอง เหล่านี้ย่อมเป็นผลเสียต่อการพัฒนาประเทศมากกว่าผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมี "จิตใจ" ทำนองเดียวกับการเป็นผู้ถูกปกครอง ถึงกับมีคำกล่าวเปรียบเทียบว่า การเลิกทาสเกิดมาช้านานแล้วแต่บางคน "กายเป็นไท แต่ใจเป็นทาส" และถึงแม้ว่าขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมอันดีของไทยได้สอนให้คนไทย "อ่อนโยน แต่อย่าอ่อนแอ" แต่กลับมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ "อ่อนโยนและอ่อนแอ"
ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ถ่อมตัว หรือเจียมเนื้อเจียมตัว ซึ่งบางครั้งแสดงออกในลักษณะที่ "ชอบถล่มตัวเอง" และทำตัวเป็น "ผู้น้อยต้อยต่ำ" อยู่ร่ำไป รวมตลอดทั้งการยอมรับชนชั้นในสังคมประการนี้ ไม่เพียงเพิ่มช่องว่างระหว่างชนชั้นในสังคมให้มากขึ้นเท่านั้น ยังมีส่วนทำให้ผู้มีอำนาจและประชาชนใกล้ชิดกันน้อยลง ผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจที่ขาดคุณธรรมอาจ "เหลิงอำนาจ" และเข้าใจว่าตนเองเป็น "เทวดาเดินดิน"
3. ยึดถือระบบอุปถัมภ์  คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ยึดมั่นในระบบอุปถัมภ์ซึ่งเห็นได้จากความสัมพันธ์ ของคนไทยจะเป็นแบบผู้นำ-ผู้ตาม ลูกพี่-ลูกน้อง หรือผู้ใหญ่-ผู้น้อย ความสัมพันธ์นี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ดังที่เรียกว่า "ข้าพึ่งเจ้า บ่าวพึ่งนาย" ระบบอุปถัมภ์ ประกอบด้วย กลุ่มอุปถัมภ์ ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่มีการจัดลำดับสมาชิกเป็นชั้นลดหลั่นกันไป โดยมีผู้นำคนเดียวและมีผู้ตามหลายคน ผู้นำจะรวมอำนาจไว้ที่ตัวเองและมีฐานะสูงกว่าผู้ตาม ผู้นำสามารถผูกพันยึดเหนี่ยวผู้ตามให้จงรักภักดีอยู่ภายใต้อิทธิพลด้วยการ จัดสรรผลประโยชน์ เช่น เงินทอง ทรัพย์สิน หรืออำนาจให้อย่างถ้วนหน้าแต่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งต่อมาเรียกว่าระบบอุปถัมภ์หรือระบบพวกพ้อง ระบบนี้มีลักษณะสำคัญ
3.1 ผู้อุปถัมภ์ อาจเรียกว่า ผู้นำ ลูกพี่ หรือผู้ใหญ่ มีภาระหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ ดูแล คุ้มครองและปกป้องบริวารของตนซึ่งได้แก่ ผู้ตาม ลูกน้อง หรือผู้น้อย ซึ่งรวมเรียกว่าผู้ถูกอุปถัมภ์ ไม่ว่าผู้ถูกอุปถัมภ์จะถูกหรือผิด ลักษณะเช่นนี้เห็นได้จากในอดีตขุนนางหรือข้าราชการไม่มีเงินเดือนประจำ เหมือนในสมัยปัจจุบัน ดังนั้น จึงต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการรับ “ของกำนัน” จากไพร่ซึ่งเป็นลูกน้องของตน และจากค่าธรรมเนียมในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเป็นการตอบแทนต่อของกำนันที่ได้ รับจากไพร่ ข้าราชการแต่ละคนจึงมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองแก่ไพร่ของตนจากรัฐและคนอื่น ๆ และในบางกรณี ข้าราชการจะช่วยให้ไพร่ของตนก้าวหน้าขึ้นไปมีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากขึ้น ด้วย การที่ผู้ใหญ่พิทักษ์ปกป้องผู้น้อยที่กระทำความผิด เห็นได้จากการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือไม่สนใจการร้องเรียน หรือแม้กระทั่งหาทางออกให้ลูกน้อง ไม่ลงโทษอย่างจริงจังเข้มงวด หรือย้ายไปอยู่พื้นที่อื่นซึ่งอาจไปกระทำความผิดเช่นเดิมนี้ในพื้นที่อื่น ต่อไป
3.2 ผู้ถูกอุปถัมภ์หรือผู้น้อยมีภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ เริ่มจากพยายามแสวงหาผู้ใหญ่ที่มีความสามารถ มีอิทธิพล และมีบารมีไว้สนับสนุนและคุ้มครอง โดยหาช่องทางเข้าไปฝากเนื้อฝากตัว เข้าเป็นพวก และเกาะติดผู้ใหญ่ไว้เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิต อันเป็นลักษณะของการหวัง "พึ่งใบบุญหรือพึ่งบารมี" การไม่เข้าเป็นพวกเดียวกันกับผู้ใหญ่ อาจถูกมองว่าเป็นศัตรูหรือเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่เมื่อเข้าไปเป็นพวกพ้องก็ยิ่งทำให้ระบบพวกพ้องมั่นคงและเข้มแข็งมากขึ้น นอกจากนี้ ลูกน้องต้องคอยติดสอยห้อยตาม เป็นสมุนเป็นบริวาร ปรนนิบัติรับใช้ประดุจบ่าวไพร่ คอยเออออห่อหมก และเป็นลูกขุนพลอยพยักอยู่เสมอ โดยใช้คำพูดที่ว่า "ครับผม ๆ" หรือ "ถูกครับพี่ ดีครับท่าน" รวมทั้งต้องคอยเคารพยกย่อง สรรเสริญเยินยอผู้ใหญ่ และมือไม้อ่อนตลอดเวลา ในลักษณะ “ผู้น้อยค่อยประนมกร” ดังนั้น การที่ผู้น้อยคอยห้อมล้อม ยกย่องสรรเสริญ และเอาอกเอาใจผู้ใหญ่จนเรียกว่าเป็นการ "ก้มหัวให้” เหล่านี้มีส่วนทำให้ผู้น้อยได้รับการแต่งตั้งหรือปูนบำเหน็จรางวัล โดยไม่คำนึงถึงความสามารถหรือผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ความเจริญก้าวหน้าใน ชีวิตของผู้น้อยจึงมิได้อยู่ที่ผลงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเป็นพวกเดียวกับผู้ใหญ่ ดังคำกล่าวที่ว่า "ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ผลของงาน แต่อยู่ที่คนของใคร"
ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีสังคมใดอยู่โดยไม่มีพวกพ้องหรือไม่พึ่งพาอาศัยกัน แต่ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ยึดถือระบบอุปถัมภ์ประการนี้ เป็นไปในลักษณะที่มากเกินกว่าความจำเป็นหรือมากเกินกว่าเหตุ จึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศทั้งในแง่ของผู้ใหญ่และผู้น้อย กล่าวคือ ในแง่ของผู้ใหญ่ จะทำให้ลืมตัว รวมอำนาจและใช้อำนาจในทางมิชอบได้ง่าย สนใจและปูนบำเหน็จรางวัลให้เฉพาะคนใกลชิด ไม่มีโอกาสใช้คนที่มีความรู้ความสามารถได้มากเท่าที่ควร เกิดระบบเส้นสายหรือการวิ่งเต้น เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม ผู้ที่มีความสามารถแต่ไม่มีเส้นสายจะก้าวหน้าได้ยาก และยังเป็นการสนับสนุนให้ผู้น้อยกระทำความผิดอีกด้วย เพราะผู้น้อยจะคิดว่าถึงอย่างไรก็มีผู้ใหญ่คอยช่วย มีเส้นสาย มีเกราะคุ้มกัน
ส่วนในแง่ของผู้น้อย ผู้น้อยที่ไม่ประจบสอพลอจะไม่ได้รับการเหลียวแลจากผู้ใหญ่ ผู้น้อยจะเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ท้อแท้ใจ และทำงานไปวันหนึ่ง ๆ อย่างไม่เต็มที่ นอกจากนี้ ระบบอุปถัมภ์ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของความไม่เท่าเทียมระหว่างผู้ใหญ่และ ผู้น้อยได้ก่อให้เกิดความเกรงใจซึ่งโดยปรกติผู้น้อยจะเกรงใจผู้ใหญ่ ความเกรงใจที่ผู้น้อยมีต่อผู้ใหญ่ในบางครั้งก็กลายเป็นอุปสรรคของการพัฒนา ประเทศ เช่น คนไทยเกรงใจผู้มีอำนาจ เช่น นายอำเภอหรือปลัดอำเภอ ไม่แสดงความคิดเห็นตอบโต้ต่อหน้า วางเฉย ไม่ขัดคอ ผู้มีอำนาจจะพูดอย่างไรคนไทยก็จะเป็นผู้ฟัง บางครั้งทำตัวเป็น “ทองไม่รู้ร้อน” การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ผู้น้อยอาจถูกเขม่นและในภายหน้าไม่อาจไปขอความช่วยเหลือหรือพึ่งบารมีได้
4. ไม่ยอมรับคนที่มีอายุเท่ากันหรือต่ำกว่า คนไทยไม่ยอมรับคนที่มีอายุไล่เลี่ยกันหรือต่ำกว่า สืบเนื่องมาจากระบบอุปถัมภ์หรือระบบพวกพ้องที่ติดตรึงอยู่ในจิตใจของคนไทยมา นาน ได้มีส่วนทำให้คนไทยนิยมยกย่องเฉพาะผู้ที่มีอาวุโสกว่าตนเป็นส่วนมาก ส่วนแนวคิดที่ยอมรับคนที่มีอายุเท่ากันหรือต่ำกว่ามีแนวโน้มที่จะปรากฏให้ เห็นในสังคมหรือในประเทศที่ให้ความสำคัญกับระบบเลือกตั้งหรือการเลือกตั้ง โดยถือว่าถ้าผู้ใดได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน แม้จะอายุน้อยก็ถือว่าได้รับการยอมรับ ทั้งนี้ สังคมหรือประเทศนั้นต้องยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอีกทั้งระบบ เลือกตั้งจะต้องเป็นที่ยอมรับโดยเฉพาะในเรื่องความบริสุทธิ์ยุติธรรม การซื้อสิทธิ์ขายเสียงมีน้อย แต่สำหรับสังคมหรือประเทศที่ให้ความสำคัญกับระบบเจ้าขุนมูลนาย ระบบอาวุโส และระบบเลือกตั้งยังคงไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมแล้ว อุปนิสัยที่ไม่ยอมรับคนที่มีอายุเท่ากันหรือต่ำกว่าก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ ทั่วไป แต่มีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น ถ้าบุคคลนั้นเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่น เด่นชัด และมีฐานะร่ำรวย
ลักษณะอุปนิสัยนี้เป็นอุปสรรคต่อการ พัฒนาประเทศในแง่ที่กำลังความคิดและกำลังกายของทรัพยากรมนุษย์ส่วนหนึ่งไม่ ได้เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ ความมีอาวุโสน้อยจะถูกนำมากล่าวอ้างและถูกกีดกันโดยผู้มีอาวุโสมากกว่า
                             
5. พึ่งพาพึ่งพิงคนอื่น คนไทยติดนิสัยต้องคอยพึ่งผู้อื่น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนไทยพบกับความผิดหวัง ด้วยเหตุผลที่คนไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องพึ่งดินฟ้าอากาศ หาความแน่นอนไม่ได้ บางปีฝนตกมากทำให้นาล่ม บางปีฝนตกน้อยเกิดนาแล้งหรือแม้กระทั่งบางปีดินฟ้าอากาศดีและผลผลิตดี แต่ก็ต้องประสบกับการขายผลผลิตไม่ได้หรือขายได้ราคาต่ำ เป็นต้น นอกจากนี้ พื้นที่ที่ทำการเพาะปลูกของไทยนับวันจะน้อยลงและสภาพของดินเสื่อมลงในขณะที่ ประชากรเพิ่มมากขึ้น รวมตลอดทั้งการถูกเอารัดเอาเปรียบหรือตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและการครอบงำของ ผู้มีอำนาจหรือชนชั้นปกครองตลอดมา สภาพเหล่านี้บางครั้งทำให้คนไทยหมดหวังสิ้นหวัง ขาดขวัญและกำลังใจ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่แน่นอนและเชื่อว่าตนเองไม่อาจกำหนดชะตาชีวิตของ ตนเองและครอบครัวได้ จึงทำให้คนไทยต้องหาหลักประกันที่มั่นคงกว่าหรือเชื่อว่ามั่นคงกว่า ด้วยการไปพึ่งพาพึ่งพิงผู้อื่น และ/หรือ สิ่งอื่นที่มีตัวตน เช่น ผู้อุปถัมภ์และผู้นำ ถึงกับมีคำกล่าวว่า "เชื่อผู้นำ ชาติเจริญ" หรือ "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย" สำหรับสิ่งที่ไม่มีตัวตน เช่น ผีสางนางไม้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่เชื่อว่ามีอำนาจเหนือมนุษย์ การที่คนไทยต้องไปพึ่งพิงผู้อุปถัมภ์ที่มีฐานะร่ำรวยและมีอิทธิพลก็มีส่วนดี อยู่บ้าง แต่ในที่สุดคนไทยก็ถูกครอบงำและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้อุปถัมภ์หรือผู้นำ มากขึ้น เช่น การที่คนไทยต้องสร้างความผูกพันกันเป็นการส่วนตัว ก็จะต้องแลกเปลี่ยนและการลงทุนในสิ่งที่ผู้อุปถัมภ์หรือผู้นำเป็นผู้กำหนด
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่คนไทยขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ขาดความคิดริเริ่ม ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น เพราะถ้าแสดงออกมาแล้ว ผู้อุปถัมภ์หรือผู้นำไม่ชอบก็จะเป็นผลร้ายต่อตัวเองและครอบครัวในภายภาคหน้า คนไทย
6. ไม่รู้จักประมาณ คนไทยมีนิสัยไม่รู้จักประมาณ ต้องการมีหน้ามีตา และพยายามรักษาหน้าตาหรือชื่อเสียงเกียรติยศไว้ เข้าทำนอง "หน้าใหญ่ใจโต" ไม่ต้องการให้ "เสียหน้า" และนิยม "รักษาหน้า" หรือ “ฉิบหายไม่ว่าขออย่าให้เสียหน้า” หรือ "ฉิบหายไม่ว่าต้องการชื่อเสียง" ในบางกรณีบางคนเคยร่ำรวย แต่เมื่อต้องมาอยู่ในสภาพที่ยากจนลง ก็ยังทำตัวฟุ้งเฟ้อเหมือนเดิม ซึ่งเรียกว่า "จมไม่ลง"
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาประเทศ ตัวอย่างเช่น ชาวไร่ชาวนาจะยอมขายไร่ขายนา ขายวัวขายควาย หรือยอมไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อจัดงานบวชหรืองานแต่งงาน  โดยไม่คำนึงถึงฐานะของตน ไม่ต้องการให้ใครมาดูถูกดูหมิ่นว่าไม่มีปัญญาจัดงานอย่างมีหน้ามีตาให้ทัด เทียมผู้อื่น ผลลัพธ์ก็คือ คนไทยเป็นหนี้เป็นสินมากขึ้น และยิ่งยากจน
7. รักอิสระเสรี  คนไทยมีอุปนิสัยที่รักอิสระเสรี รักความเป็นไท ไม่ยอมอยู่ในระเบียบ ดังมีคำกล่าวว่า “ทำได้ตามใจคือคนไทยแท้” อันมีส่วนทำให้คนไทยขาดระเบียบวินัย ไม่ยึดถือระเบียบวินัย ส่งผลให้การพัฒนาประเทศขาดประสิทธิภาพด้วย
8. ไม่ชอบค้าขาย ในอดีตคนไทยเชื่อว่าอาชีพที่ได้รับการยกย่องคือรับราชการ ดังที่มีคำกล่าวกันว่า “สิบพ่อค้าไม่เท่าหนึ่งพระยาเลี้ยง” คนไทยจึงมีลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ชอบค้าขาย เพราะการค้าขายต้องเอาอกเอาใจลูกค้า การค้าขายจึงตกอยู่ในมือของคนชาติอื่น เช่น จีน และคนอินเดีย การค้าขายมีความเกี่ยวพันกับระบบเศรษฐกิจทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติจนถึง ระดับหมู่บ้าน ถ้าหากการค้าขายของคนไทยไม่เข้มแข็งเพียงพอย่อมเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ประเทศ ทุกวันนี้ พ่อค้านักธุรกิจได้เข้ามามีอำนาจและอิทธิพลในประเทศมากขึ้น แต่ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยประการนี้ก็ยังคงมีปรากฏให้เห็น โดยเฉพาะในกลุ่มข้าราชการ
9. เอาตัวรอดและโยนความผิดให้ผู้อื่น คนไทยมีอุปนิสัยเอาตัวรอดซึ่งรวมทั้งการชอบโยนความผิดให้ผู้อื่น เห็นได้จากการชอบหลบเลี่ยงการงานไปวันหนึ่ง ๆ หรือพฤิตกรรมที่เรียกว่า “ขายผ้าเอาหน้ารอด” กระทำตัวเป็นศรีธนญชัย ลื่นไหล ไหลรื่นไปเรื่อย ๆ ทำนอง "ปลาไหล" หรือ "ปลาไหลติดสเก็ต" หรือ "มะกอกสามตะกร้า ปาไม่ถูก" ยิ่งไปกว่านั้น หากกระทำสิ่งใดแล้วล้มเหลวจะโยนความผิดให้ผู้อื่นหรือโทษผู้อื่นแทน ดังคำกล่าวที่ว่า "รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง" หรือ "ดีฝากเมีย เสียฝากเพื่อน" หรือตามตัวอย่างที่ว่า ถ้าตนเองเดินไปชนกระโถนล้ม ก็จะโยนความผิดว่ามีคนวางกระโถนเกะกะขวางทาง ทั้งที่เป็นความผิดของตัวเองที่เดินซุ่มซ่าม
การพัฒนาประเทศจึงหา "เจ้าภาพ" หรือผู้รับผิดชอบที่แท้จริงได้ยาก เพราะอุปนิสัยคนไทยชอบซัดทอดกันหรือโยนกันไปเรื่อย ๆ ตรงกันข้าม ถ้ากระทำสิ่งใดแล้วมีความดีความชอบเกิดขึ้น ก็จะมีคนเป็นจำนวนมากเข้ามาขอรับความดีความชอบนั้น เข้าทำนอง "รับแต่ชอบ ไม่ยอมรับผิด" หรือ "เสนอหน้ารับความชอบ" หรือ "ขอมีเอี่ยวด้วย"
10. ไม่ชอบรวมกลุ่มและขาดการร่วมมือประสานงาน  คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ชอบการรวมกลุ่มหรือทำงานแบบทีม แต่ชอบทำงานเดี่ยว ดังที่เรียกกันว่า "ฉายเดี่ยว" (one man show) หรือ "ข้ามาคนเดียว" กล่าวกันว่า คนไทยมีความสามารถเฉพาะตัวสูงมาก โดยความสามารถของคนไทยจะเปี่ยมล้นเมื่อทำงานคนเดียว แต่ถ้าเมื่อใดต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น เมื่อนั้นความสามารถจะลดลงเหลือเพียงครึ่งเดียว ที่เป็นเช่นนี้เพราะเกิดการชิงดีชิงเด่น แย่งกันเก่ง ไม่ยอมให้ใครเกินหน้าเกินตา ไม่ยอมก้มหัวให้กัน อิจฉาริษยาและขัดขวางซึ่งกันและกัน สรุป ถ้ารวมกลุ่มกันเมื่อใดจะเกิดปัญหาหรือความแตกแยกขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ตรงกับคำกล่าวที่ว่า “มากหมอมากความ” "รวมกันตายหมู่ แยกกันตายเดี่ยว" หรือ "สามัคคีคือพัง"
การรวมกลุ่มที่มีขึ้นส่วนใหญ่จะเป็น การรวมกลุ่มแบบชั่วคราวและหละหลวมในงานพิธีหรือในงานรื่นเริง เป็นต้นว่า การรวมกลุ่มกันในงานบวช งานสงกรานต์ และการลงแขกหรือขอแรง เมื่องานเสร็จก็เลิกราแยกย้ายกันไป และเป็นที่น่าสังเกตว่าหากมีการรวมกลุ่มเกิดขึ้น กลุ่มของคนไทยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ขาดอุดมการณ์หรือขาดจิตสำนึกของการรวม กลุ่มเพื่อส่วนรวม แต่มุ่งรวมกลุ่มเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก เช่น การรวมกลุ่มตั้งเป็นสหกรณ์เพื่อหวังกู้เงินยืมเงิน หรือการรวมกลุ่มเพื่อตั้งพรรคการเมือง จะมีลักษณะเป็น "กลุ่มการเมือง" หรือ "กลุ่มกวนเมือง" มากกว่าพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์เพื่อส่วนรวม
ลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ชอบการรวมกลุ่ม ดังกล่าวนี้มีความหมายใกล้เคียงกับมีลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ชอบร่วมมือประสาน งานกับผู้อื่นจึงนำมารวมไว้ด้วยกัน
ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ไม่ชอบรวม กลุ่มและขาดการร่วมมือประสานงานนี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ ที่การพัฒนาใด ๆ เพื่อสังคมหรือส่วนรวมไม่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีการรวมกลุ่ม ดังคำกล่าวที่ว่า “ถ้าไม่มีกลุ่ม ก็ไม่มีงานพัฒนา" (no group, no development) และยิ่งการรวมกลุ่มมั่นคงเข้มแข็งมากเพียงใด การพัฒนาประเทศก็ยิ่งเข้มแข็งเป็นเงาตามตัว ในเวลาเดียวกัน การพัฒนาประเทศเป็นงานที่ต้องร่วมมือกันหลาย ๆ ฝ่าย เป็นงานของหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ถ้าขาดความร่วมมือประสานงานกันอย่างจริงจังแล้ว ย่อมประสบความสำเร็จได้ยาก เห็นได้จากบ่อยครั้งที่การประสานงาน กลับกลายเป็น "การประสานงา"
11. ขาดการวางแผน คนไทยขาดการวางแผนอย่างเป็นทางการ ชอบมองโลกในแง่ดี โดยไม่เกรงว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นก็แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในแต่ละครั้งไปตามสถานการณ์ ซึ่งบางครั้งก็เป็นแบบ “สุกเอาเผากิน” ผู้ที่วางแผนในการทำงานจะถูกมองไปว่าเป็นตัวปัญหา คิดมาก หรือวิตกกังวลเกินไป ดังนั้น การทำงานใด ไม่จำเพาะแต่งานพัฒนาเท่านั้น ถ้าขาดการวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว จะทำให้การทำงานไม่มีทิศทางไม่รอบคอบ หละหลวม และล้มเหลวได้ง่าย
12. ชอบการพนัน เหล้า และความสนุกสนาน คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่เปรียบได้กับของใช้ติดตัว 3 อย่าง ได้แก่ ถ้วย ขวด และกลอง
ถ้วย หมายถึงลักษณะอุปนิสัยที่ชอบการพนันขันต่อ ถ้วยเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ใช้ในการเล่นการพนัน โดยเฉพาะไฮโล และยังหมายความรวมไปถึงการพนันชนิดอื่นด้วย เป็นต้นว่า ถั่ว ไพ่ กัดปลา ตีไก่ ชนวัว แข่งม้า และมวย กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าคนไทยชอบการ "เสี่ยงโชค" และชอบ “หวังน้ำบ่อหน้า”
ขวด หมายถึงลักษณะอุปนิสัยที่ชอบดื่มเครื่องดองของเมา ไม่ว่าจะเป็นเหล้า สาโท กระแช่ หรือเบียร์ หรือเครื่องดื่มมึนเมาอื่น โดยเรียกนักดื่มว่า “คอทองแดง” เครื่องดื่มประเภทนี้ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ในงานรื่นเริงต่าง ๆ คนไทยนั้นดีใจก็ดื่มเหล้า เสียใจก็ดื่มเหล้า อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรทำก็ดื่มเหล้า หรือดื่มเหล้าเพียง 2 เวลา คือ เวลาฝนตกกับเวลาฝนไม่ตก การดื่มก็มิใช่เป็นการดื่มพอเป็นพิธีหรือเพื่อสังคม แต่บางครั้งจะดื่มกันจนเมามาย ดังที่เรียกกันหลายอย่างว่า “ดื่มหัวราน้ำ” “ไม่เมาไม่เลิก” หรือ “กินเผื่อหมา” หรือ "จิบนิด ๆ พออาเจียน" เป็นต้น
ส่วนกลอง หมายถึงลักษณะอุปนิสัยที่ชอบสรวลเสเฮฮา ชอบสนุกสนาน รื่นเริง และชอบการเลี้ยงดูกันอย่างเต็มที่ดื่มกินและเที่ยวผู้หญิงด้วย ดังที่เรียกกันว่า “เลี้ยงดูปูเสื่อ” ที่จัดขึ้นในระหว่างญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งนี้เพราะคนไทยมองโลกในแง่สวยงาม ชอบเล่นและทำงานไปพร้อมกัน มิใช่งานเป็นงานหรือเล่นเป็นเล่น การมีลักษณะอุปนิสัยที่ชอบสรวลเสเฮฮานี้มีส่วนทำให้คนไทยไม่ตั้งใจประกอบ อาชีพอย่างจริงจัง แต่มุ่งทำงานเพื่อให้พอมีพอกินหรือเพื่อให้อยู่รอดไปในแต่ละวันโดยไม่คิดถึง อนาคตมากนักซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า “ตำข้าวสารกรอกหม้อ”
ลักษณะอุปนิสัยสิ่งเหล่าย่อมเป็น อุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการที่คนไทยหลงมัวเมาในอบายมุขซึ่งล้วนมีทุกข์และโทษมากกว่าผลดี และการไม่เอาจริงเอาจังในการทำงาน เพราะใจมัวแต่ไปคิดถึงอบายมุขและความสนุกสนานดังกล่าว อันถือได้ว่าเป็นลักษณะที่ภูมิคุ้มกันสิ่งยั่วเย้าทั้ง 3 อย่างบกพร่อง
13. เกียจคร้าน คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยเกียจคร้าน ขี้เกียจ ชอบความสะดวกสบาย ไม่ชอบทำงานหนัก ขาดความมุมานะ อดทน การทำงานของคนไทยเข้าทำนอง "หลีกเลี่ยงงานหนักคอยสมัครงานสบาย" เมื่อพบปัญหาอุปสรรคก็ท้อถอย ไม่อดทน ไม่ต่อสู่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยจะทำเป็นแข็งขันเฉพาะตอนเริ่มแรกเท่านั้น เรียกว่า "ม้าตีนต้น" หรือ "พวกแผ่วปลาย"
คนไทยจะทำงานเมื่อมีคนคอยคุม ถ้าไม่มีใครคุมก็จะหลบหลีกเข้าทำนอง "แมวไม่อยู่หนูระเริง" การทำงานด้วยความสำนึกในหน้าที่ด้วยจิตใจรักงานมีให้เห็นไม่มากเท่าที่ควร มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ชอบยกเอาหลักธรรมทางพุทธศาสนามากล่าวอ้างเพื่อปกปิด ความเกียจคร้าน โดยเฉพาะสันโดษและมักน้อย ทั้งที่เนื้อแท้ของหลักธรรมดังกล่าวมิได้สั่งสอนเช่นนั้น
การพัฒนาประเทศเป็นงานกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งยังเผชิญกับปัญหาอุปสรรค ความยากลำบาก และต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ถ้าประชาชนไม่ทำงานหนัก ไม่มุมานะ ไม่อดทน ไม่ขยันและไม่มีความเพียรแล้ว ก็ยากที่จะสำเร็จได้
14. ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง คนไทยไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ชอบรักษาสถานภาพเดิม และยังต่อต้านการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ไปกระทบกระเทือนสถานะและผลประโยชน์ของตน โดยเฉพาะคนไทยในชนบทยังชอบทำอะไรที่สืบต่อกันมาแต่ดั้งเดิม และมีไม่น้อยที่คนภายนอกมองว่างมงาย แต่คนไทยก็ยังทำต่อไปโดยไม่สนใจเหตุผล ไม่ตั้งข้อสงสัย เช่น เห็นกันมานานว่า พ่อแม่ปู่ย่าตายายมีลูกหลานหลายคนก็ทำตามโดยไม่สนใจการวางแผนครอบครัว หรือแม้แต่การประกอบอาชีพทำนาปลูกข้าว พ่อแม่ปู่ย่าตายายทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่เช่นเดิมโดยไม่คิดปรับปรุงเปลี่ยน แปลงให้ดีขึ้น
ลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ชอบการเปลี่ยน แปลงและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจะมีส่วนทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปด้วยความยาก ลำบาก เนื่องจากการรับและนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไปจะถูกต่อต้าน
15. เห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้  คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยเห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ชอบเอาเปรียบและกินแรงผู้อื่น ไม่ยอมเสียสละ เสแสร้ง ต่าง ๆ นานาเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ตัวเองมิได้เป็นคน “ยากจน” แต่แสร้งทำตัวเป็นคน “อยากจน” เพื่อจะได้รับสิทธิและผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงคนยากจนจริง ๆ หรือในกรณีร่วมแรงร่วมใจกันทำงานยกของหนัก ก็จะแกล้งแสดงออกในลักษณะเสียงดัง เอะอะ ๆ ทำเป็นขะมีขะมันให้ความร่วมมือร่วมแรงอย่างเต็มที่ แต่แท้ที่จริงกลับไม่ยอมออกแรง อันเป็นลักษณะของ "หน้าแดง แรงไม่ออก" เพื่อกินแรงและเอาเปรียบผู้อื่น นอกจากนี้ คนไทยยังไม่ยอมขาดทุน ชอบทุจริตประพฤติมิชอบ กินนอกกินใน กินเล็กกินน้อย และทำอะไรจะหวังสิ่งตอบแทนเสมอ เมื่อไม่ได้ก็พร้อมที่จะตัดความสัมพันธ์ได้ตลอดเวลา ในเวลาเดียวกัน คนไทยยังมีนิสัยเฉโก คือฉลาดแกมโกง และนักวิชาการบางคนถึงกับกล่าวว่า คนไทยมีนิสัย “ขี้ขโมย” อีกด้วย
ดังนั้น การพัฒนาประเทศจึงเป็นไปอย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย การรั่วไหลมีตลอดทางและตลอดเวลาถึงกับบางคนกล่าวเปรียบเทียบไว้ในอดีตว่า เงินที่รัฐบาลอนุมัติให้ใช้สำหรับการพัฒนาประเทศ เริ่มแรกเมื่ออยู่ในคลังที่ส่วนกลางมีเต็มจำนวน แต่เมื่อมาถึงประชาชนจะเหลือไม่เต็มจำนวน ขาดหายไประหว่างทางมากโดยกล่าวว่า เงินงบประมาณดังกล่าวเปรียบเสมือนไอศกรีมแท่ง เมื่อเอาออกจากตู้แช่แข็งหรือตู้เย็นจะมีอยู่เต็มแท่งดี แต่ระหว่างทางผ่านรัฐมนตรีประจำกระทรวงและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเลขานุการ ทำให้ไอศกรีมละลายไปบางส่วน พอผ่านข้าราชการประจำในส่วนกลาง เช่น ปลัดกระทรวง และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ยิ่งละลายหายไปอีก เมื่อมาถึงส่วนภูมิภาคเข้าจังหวัด ผ่านข้าราชการในจังหวัดและอำเภอ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ ประกอบกับอากาศร้อนอบอ้าวมาก ไอศกรีมก็ยิ่งละลายเร็วขึ้น ไอสกรีมจะถูกส่งลงไปยังกำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในระดับตำบล และหมู่บ้านโดยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของนายอำเภอและปลัดอำเภอ ไอศกรีมก็ยังคงละลายอยู่เช่นเดิมแม้ไอศกรีมจะตกไปถึงมือของหน่วยการปกครอง ท้องถิ่น และท้ายที่สุดไอศกรีมก็จะตกไปถึงมือประชาชนซึ่งบางครั้งเหลือแต่ไม้ไอศกรีม ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่เห็นแก่ตัวและเอาแต่ได้ประการนี้เป็นอุปสรรคของ การพัฒนาประเทศเนื่องจากงบประมาณที่ส่งไปนั้น รั่วไหลและหายไประหว่างทางมากมาย ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและประเทศชาติเสียหาย ถาวรวัตถุต่าง ๆ เช่น ถนน ฝาย บ่อน้ำ ที่สร้างขึ้นจะไม่ได้มาตรฐานไม่มั่นคงถาวร ทั้งนี้เพราะการมีอุปนิสัยที่เอาแต่ได้หรือการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่า ส่วนรวม
16. ลืมง่าย  คนไทยมีอุปนิสัยลืมง่าย ให้อภัยง่าย และเห็นอกเห็นใจ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาในเรื่องเมตตากรุณา
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่ว่า เมื่อมีผู้กระทำความผิด โกงชาติบ้านเมือง คนไทยก็ไม่จดจำและไม่นำมาเป็นบทเรียน ไม่ต่อต้านอย่างจริงจังและต่อเนื่อง กลับให้อภัยหรือยกโทษให้ ดังนั้น ผู้กระทำความผิดก็อาจหวนกลับมากระทำความผิดซ้ำอีก
17. ชอบอภิสิทธิ์ คนไทยมีนิสัยชอบอภิสิทธิ์ สิทธิพิเศษ มีเส้นสาย ผู้ใดมีหรือได้รับอภิสิทธิ์จะรู้สึกภาคภูมิใจว่าเก่งกว่าเหนือกว่าผู้อื่น เช่น การไปติดต่อราชการ ถ้ามีข้าราชการคนใดมาต้อนรับหรือให้บริการเป็นพิเศษเหนือกว่าประชาชนทั่วไป นอกจากทำให้ตนเองได้รับบริการที่ลัดคิวและรวดเร็วกว่าคนอื่นแล้ว ยังรู้สึกภาคภูมิใจอีกด้วย
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้ได้สร้างความ เหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกันมากขึ้น คนรวยหรือผู้มีฐานะที่มีอภิสิทธิ์ ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาประเทศมากกว่าคนจน ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนมีให้เห็นชัดเจนขึ้น
18. ฟุ่มเฟือย คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ประหยัดและอดออม บางคนทำตัวเป็นพวก “คอสูง” หรือ “รสนิยมสูง แต่รายได้ต่ำ”
ลักษณะอุปนิสัยนี้เป็นอุปสรรคต่อการ พัฒนาประเทศในแง่ที่คนไทยยิ่งยากจนมากขึ้นเนื่องจากเป็นหนี้มากขึ้น เพราะนิยมใช้สินค้าที่ใช้นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น อาหารและเสื้อผ้าราคาแพง ก็ยิ่งทำให้ประเทศชาติและประชาชนเป็นหนี้มากขึ้น
19. ไม่รู้แพ้รู้ชนะ ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ไม่รู้จักแพ้ชนะปรากฏให้เห็นทั่วไป โดยเฉพาะในการแข่งขันกีฬา ผู้ได้รับชัยชนะอาจ “กระพือปีก” เยอะเย้ย หรือเย้ยหยัน ดูถูกผู้แพ้ ส่วนผู้แพ้จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา เข้าทำนอง “กีฬาแพ้คนไม่แพ้” บางครั้งหาหนทาง “แก้เผ็ด” โดยถือว่า “วันพระไม่ได้มีหนเดียว”
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาประเทศเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายหมกมุ่นอยู่กับการแก้ แค้นกันในเรื่องส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม ทำให้เกิดความวุ่นวาย เสียเวลา และแตกความสามัคคี
20. ไม่ยกย่องผู้หญิง คนไทยมีอุปนิสัยที่ไม่ยกย่องผู้หญิงมากเท่าที่ควร ทั้งที่ผู้หญิงในประเทศไทยมีไม่น้อยกว่าผู้ชาย แต่คนไทยยกย่องผู้ชาย เห็นได้จากผู้นำในทุกระดับส่วนมากจะเป็นผู้ชาย อีกทั้งการส่งเสริมบุคคลให้เข้าสู่ตำแหน่งสำคัญก็จะเป็นการส่งเสริมผู้ชาย เป็นหลัก
อุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่ทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นหญิงเป็นจำนวนมากไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
21. มีจิตใจคับแคบ ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยประการนี้ครอบคลุมถึงการมองโลกในแง่ร้าย หวาดระแวง วิตกกังวลเกินกว่าเหตุ รวมตลอดทั้งการเห็นแก่ตัว สกัดกั้น กีดกัน หรือกันท่าผู้อื่นด้วยเกรงว่าจะเด่นกว่าดีกว่าตนเองด้วย เข้าทำนอง ”ไม่มีใครอยากเห็น เราเด่นเกิน” เป็นลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับการโต้แย้งหรือคำตำหนิติเตียนจากผู้อื่น ถ้าหากมีขึ้นก็จะโกรธและผูกใจเจ็บ บ่อยครั้งที่การรับฟังความคิดเห็นเป็นเพียงการ “ได้ยิน” และ "ฟัง" เข้าหูพอเป็นพิธีเท่านั้น มิได้ถือเป็นเรื่องจริงจังและให้ความสำคัญมาก ฉะนั้นการรับฟังดังกล่าวนี้จึงเหมือนกับการ “ได้ยิน” แต่ไม่สนใจเท่านั้น นอกจากนี้การออกปากให้ความช่วยเหลือหรือพูดว่าสนับสนุนส่วนใหญ่จะเป็นการ ช่วยเหลือสนับสนุนแต่ปากเท่านั้น
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย และไม่มีใครอยากเข้ามาร่วมทำงานกับผู้ที่มีจิตใจคับแคบหรือเห็นแก่ตัว
22. ชอบสร้างอิทธิพล คนไทยมีอุปนิสัยที่ชอบสร้างอิทธิพล สร้างอาณาจักร และชอบแสดงความเป็นเจ้าของ ลักษณะอุปนิสัยเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในส่วนที่ความคิดและวิธีการในการพัฒนาประเทศถูกผูกขาดเฉพาะกลุ่มและ เพื่อประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ประชาชนจะไม่ได้รับประโยชน์ ความคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้ยาก ทั้งยังขัดกับหลักประชาธิปไตยและหลักพุทธศาสนาที่ไม่สนับสนุนให้สะสมมากจน เกินพอความจำเป็น
23. ชอบประนีประนอม คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ชอบการประนีประนอม ชอบการผสมกลมกลืน เป็นลักษณะที่แสดงถึงการ "พบกันครึ่งทาง" "แทงกั๊ก" หรือ “ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง” ลักษณะอุปนิสัยเช่นนี้ทำให้คนไทยสามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ ทุกยุคทุกสมัย ประดุจน้ำที่สามารถแปรไปตามลักษณะของภาชนะต่าง ๆ ได้ง่าย กล่าวคือ ถ้านำน้ำไปเทใส่ในถาดสี่เหลี่ยมหรือถาดกลม น้ำก็จะมีลักษณะเป็นไปตามลักษณะของถาดสี่เหลี่ยนหรือถาดกลมนั้น
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่การพัฒนาประเทศหรือการพัฒนาใด ๆ จะไม่ได้ผลอย่างชัดเจน ถ้าตราบใดที่อุปนิสัยของคนไทยยังเวียนว่ายอยู่กับความเป็นกลาง พ่อค้าคนกลาง หรือผู้นำที่เป็นกลาง หรือแทงกั๊ก พบกันครึ่งทางตลอดมา ตราบนั้นผลของการพัฒนาก็จะออกมากลาง ๆ ไม่ดีเด่น เป็นไปอย่างล่าช้า ไม่ทันต่อเหตุการณ์ และได้ผลไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้ผลเพียงครึ่งเดียว ไม่ท้าทาย ไม่กล้าได้กล้าเสีย และไม่กล้าเสี่ยง
24. ไม่ตรงต่อเวลา เป็นลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ให้ความสำคัญกับเวลา การไม่ตรงต่อเวลา การผลัดผ่อนเรื่องเวลา ไม่ห่วงเวลาในรายละเอียดเป็นชั่วโมงเป็นนาที เพียงแค่ดูแดดก็รู้ว่าบ่ายหรือเช้า ดูดาวก็รู้ว่าค่ำรุ่งแค่ไหน ซึ่งก็เพียงพอแล้ว ลักษณะอุปนิสัยประการนี้อาจมาจากความเชื่อที่ยึดถือตนเองเป็นหลัก ส่วนเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่เพียงเท่านั้นอาจมองไปได้อีกว่า คนที่มาสายไม่ตรงเวลา ถือว่าเป็นคนใหญ่โตมีอำนาจ เพราะแม้มาผิดเวลาก็ยังมีคนรออยู่เช่นเดิม เช่น การมาสายของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้หญิงบางคน เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรชาวบ้านหรือผู้ชายก็ยังคงรออยู่ เป็นอาทิ
ลักษณะอุปนิสัยที่ไม่ตรงต่อเวลานี้ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่มีอุปนิสัยประการนี้จะไม่ได้รับความเชื่อถือ ขาดไว้วางใจ และถูกมองว่าเป็นคนขาดความรับผิดชอบ การนัดหมายหรือกำหนดเป้าหมายร่วมกันกับผู้อื่น จะคลาดเคลื่อนไปหมด
25. ไม่รักษาสาธารณสมบัติ  เป็นลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ไม่สนใจทำนุบำรุงหรือรักษาของส่วนรวม และไม่ยึดถือหลักที่ว่า สาธารณะสมบัติแม้ไม่ใช่สิ่งของส่วนตัว แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรช่วยกันรักษา ถ้าไม่ช่วยรักษาก็ไม่ควรทำลาย ที่ผ่านมามีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ทำลายสาธารณะสมบัติทั้งที่ไม่ตั้งใจและไม่ ตั้งใจ เช่น ทำลายโทรศัพท์สาธารณะ สลักชื่อไว้ตามกำแพงวัด และทิ้งขยะมูลฝอยลงในแหล่งน้ำ
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้ทำให้เสียหาย ต่อการพัฒนาประเทศ เห็นตัวอย่างได้จาก สาธารณะสมบัติที่สร้างขึ้นจะอยู่ได้ไม่นาน ทำให้เปลืองงบประมาณและแรงงานที่ต้องมามาใช้ในการซ่อมแซมหรือสร้างใหม่ อีกทั้งเป็นการที่ทำให้ผู้อื่นหมดโอกาสที่จะได้ใช้สาธารณะสมบัตินั้นไปด้วย
26. ชอบพูดมากกว่าทำ เป็นลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่ชอบพูดมากกว่าทำ ซึ่งครอบคลุมทั้งการชอบพูดมากกว่าเขียน และชอบติเพื่อทำลาย ตัวอย่างลักษณะอุปนิสัยประการนี้เห็นได้จากการประชุมปรึกษาหารือกัน โดยการประชุมจะเป็นการพูดหรือคุยหรือการระบายอารมณ์กัน ปะทะคารมกัน พูดไม่รู้จักจบ เข้าทำนอง “ผีเจาะปาก” แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องการแบ่งงานกันทำจะมีคนช่วยทำน้อยมาก ขณะเดียวกัน จะมี "การติติงเพื่อทำลาย" หรือใช้เหตุผลส่วนตัวมากกว่า “ติเพื่อก่อ” หรือเพื่อสร้างสรร และขณะที่ตินั้นก็มิได้มีข้อเสนอที่ดีกว่าขึ้นมาแทน เข้าทำนอง ขอให้ได้ติ หรือ “ค้านลูกเดียว”
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาประเทศ ทำให้ผู้ที่ทำงานจริง ๆ หมดกำลังใจ ไม่คิดที่จะติดต่อร่วมมือทำงานด้วย และปลีกตัวออกห่าง การพัฒนาประเทศจะไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร ถ้ามีนักพูดหรือนักช่างพูดเป็นจำนวนมาก แต่ไม่ใช่นักปฏิบัติหรือทำงานไม่เป็น นักช่างพูดดังกล่าวจะอาศัยความสามารถในการพูดเก่งซึ่งเป็นปมเด่นของตนเพื่อ ก้าวไปสู่ตำแหน่ง
27. ยกย่องวัตถุ หรือเรียกว่า วัตถุนิยม เป็นลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่นิยมเงินตรา โดยถือว่า “เงินคือพระเจ้า” หรือเชื่อว่า “เหล็กที่แข็ง ง้างด้วยเงินอ่อนทันใด” รวมทั้งการยกย่องและคบหาสมาคมกับคนที่มีฐานะร่ำรวย โดยไม่สนใจว่าความร่ำรวยได้มาจากความสุจริตหรือไม่ ดังคำกล่าวว่า "มีเงินเป็นน้อง มีทองเป็นพี่" นอกจากนี้ ยังเป็นอุปนิสัยที่นิยมวัตถุหรือของใช้ที่ฟุ่มเฟือย เช่น คนในชนบทชอบใช้สินค้าจากในเมือง ส่วนคนในเมืองชอบใช้สินค้าจากต่างประเทศ และประกวดประชันความร่ำรวยกันด้วยจำนวนเงิน ที่ดินทรัพย์สิน หรือการแต่งกาย
ลักษณะอุปนิสัยนี้เป็นอุปสรรคต่อการ พัฒนาประเทศเพราะถ้าการพัฒนาประเทศมุ่งเน้นด้านวัตถุและละเลยการพัฒนาด้าน จิตใจ เช่น พัฒนาด้านการศึกษา คุณธรรม และจริยธรรม ย่อมทำให้คนไทยแล้งน้ำใจ ขาดน้ำใจ หรือขาดจิตใจเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ต้องตกเป็นทาสของเงินตราและวัตถุมากขึ้นตามแนวทางของทุนนิยม และยังเป็นหนี้ต่างชาติอีกด้วย
28. ชอบของฟรี  เป็นลักษณะอุปนิสัยของคนที่ชอบสิ่งจูงใจหรือชอบของฟรีของแถม ชอบการรอรับหรือการสงเคราะห์โดยไม่ยอมพึ่งตนเอง
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาประเทศในแง่ที่ทำให้คนไทยทำสิ่งใดเพราะหวังสิ่งตอบแทนเท่านั้น ถ้าไม่มีการแจกการแถมหรือไม่มีของฟรีก็จะไม่ให้ความร่วมมือ หรือไม่ร่วมมืออย่างเต็มที่ เช่นนี้ขัดกับหลักการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นในเรื่องการทำงานด้วยจิตสำนึก เพื่อส่วนรวมและการเสียสละ
29. สอดรู้สอดเห็น คนไทยมีลักษณะอุปนิสัยที่ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องไร้สาระหรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ดังที่มีคำว่า “ไทยมุง” เกิดขึ้นมานาน นอกจากนี้ เมื่อใดที่มีประกาศการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง สิ่งที่คนไทยสนใจก็คือดูว่าตัวเองได้เลื่อนตำแหน่งกี่ขั้น แล้วก็จะดูของเพื่อนฝูงหรือของศัตรูว่าได้กี่ขั้น ถ้าได้น้อยกว่าตัวเองก็จะรู้สึกสะใจ สมน้ำหน้าเพื่อน แต่ถ้าตัวเองได้เลื่อนขั้นน้อยกว่าก็จะแสดงความไม่พอใจ บางคนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นต้น
ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นอุปสรรค ต่อการพัฒนาประเทศ โดยเป็นรากฐานของการอิจฉาริษยากัน ทำให้จิตใจไม่สงบ และย่อมส่งผลการทำงาน เสียเวลาทำงานหรือนำเวลาไปใช้ในเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร
30. ขาดจิตสำนึกและอุดมการณ์เพื่อชาติบ้านเมือง เป็นลักษณะอุปนิสัยของคนไทยที่คิดเฉพาะความอยู่รอดของตนเองเท่านั้นโดยไม่ คิดถึงชาติบ้านเมือง โดยคิดอยู่เสมอว่า "ประเทศชาติ ไม่ใช่ของเขาคนเดียว" เมื่อทำกิจการใดจะคิด "มุ่งแสวงหากำไรเกินควร" หรือกำไรสูงสุดเสมอ และแม้เป็นเศรษฐี เมื่อประชุมกันครั้งใดก็คิดแต่จะเอาเปรียบขูดรีดคนยากจน ในทำนองที่ว่า "ไม่มีน้ำตาของคนยากจน ในที่ประชุมของเศรษฐี" ลักษณะอุปนิสัยประการนี้เป็นลักษณะของ "กาฝากสังคม" หรือ "ปลิงดูดเลือดสังคม" คนไทยผู้ใดขาดจิตสำนึกและอุดมการณ์ดังกล่าวนี้ จะมีพฤติกรรมในลักษณะดังนี้ โกงชาติโกงแผ่นดิน ฉ้อราษฎร์บังหลวง ค้ากำไรเกินควร ขูดรีดประชาชน ค้ายาเสพติด ค้าของหนีภาษี หรือค้ามนุษย์ เป็นต้น ลักษณะเหล่านี้ตรงข้ามกับลักษณะของ "มนุษย์พันธุ์ใหม่ที่สังคมไทยปรารถนา" นั่นก็คือ "ลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงตัวจริงที่มีจิตสำนึกและอุดมการณ์ที่เสียสละและทำ ประโยชน์เพื่อชาติบ้านเมือง"
ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยประการนี้เป็น อุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศเพราะทำให้การทำงานใด ๆ จะมุ่งไปที่ประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น ไม่คิดถึงประโยชน์ของส่วนรวม จะนิ่งเฉยหรือเมินเฉยต่อความทุกข์ยากของประชาชนส่วนรวมและประเทศชาติ
สรุป
การพัฒนาประเทศไม่ประสบความสำเร็จ เท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจลักษณะอุปนิสัยของคนไทยว่ามีบางส่วนที่เป็น อุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ และที่ยังไม่มีการแยกแยะอธิบายให้เห็นอย่างชัดเจน ลักษณะอุปนิสัยทั้ง 30 ประการข้างต้นนี้ แม้จะมีอยู่ในคนไทยที่อาศัยอยู่ในเมืองและในชนบท แต่ไม่ปรากฏให้เห็นในคนไทยทุกคนทุกเวลาหรือทุกสถานที่ การปรากฏอาจชัดเจนหรือไม่ชัดเจนก็ได้ ลักษณะอุปนิสัยบางประการอาจใกล้เคียงกันหรืออาจขัดกันก็ได้เช่นกัน การจัดแบ่งลักษณะอุปนิสัยของคนไทยอาจมีมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาศึกษาของผู้เขียนแต่ละคน อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยเหล่านี้น่าจะมากเพียงพอที่จะเป็นประโยชน์สำหรับการวางแผนและการ กระทำหรืองดเว้นการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนและส่งผลถึงการพัฒนาประเทศได้
อาจปฏิเสธได้ยากถ้ามีผู้ใดกล่าวว่า ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยในบทความนี้เป็นการพิจารณาศึกษาเฉพาะในแง่ลบเท่านั้น ยังมีลักษณะอุปนิสัยของคนไทยในแง่บวกจำนวนมากมายทำไมไม่นำมาเขียนไว้ด้วย เช่นนี้ ทำให้ผู้เขียนเกิดความวิตกกังวลไปได้ว่าผู้อ่านที่เป็นคนไทยด้วยกันจะไม่ เข้าใจเจตนาของการเขียนครั้งนี้ ในการเขียนบทความนี้ผู้เขียนได้ระลึกอยู่ 2 ประการ ประการแรก การพิจารณาศึกษาลักษณะอุปนิสัยในแง่ลบข้างต้นสามารถนำไปเป็นแนวทางในการ สร้างหรือสนับสนุนลักษณะอุปนิสัยในแง่บวกเพื่อนำไปต่อต้านถ่วงดุลกับลักษณะ อุปนิสัยในแง่ลบได้ อีกประการหนึ่ง การพิจารณาศึกษาและเรียนรู้ให้เข้าใจลักษณะอุปนิสัยของคนไทยอื่น ๆ ให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศและพัฒนาคนดังที่ได้ทำในบทความ นี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าจะให้ความสำคัญและน่าวิตกกังวลมากกว่าเรื่องที่ผู้อ่าน บางคนไม่เข้าใจ สมดังคำกล่าวของขงจื๊อที่ว่า “จงอย่าวิตกกังวลว่าผู้อื่นจะไม่เข้าใจท่าน แต่จงวิตกกังวลว่าท่านเข้าใจผู้อื่นมากน้อยเพียงใด”

10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิล


10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิล

 
   จากความสำเร็จของบริษัทแอปเปิล ทำให้หลายฝ่ายสงสัยและต้องการทราบว่า เบื้องหลังความสำเร็จและแนวคิดในแบบแอปเปิลนั้นเป็นอย่างไร
วันนี้เรามี 10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิล ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่ทำให้แอปเปิลพัฒนามาจนถึงวันนี้
เป็นที่รู้กันว่า พนักงานของบริษัทแอปเปิลตั้งแต่เริ่มทำงานมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาถูกปลูกฝังด้วยคำว่า Think Different หรือคิดต่าง ซึ่งแม้ว่าคำๆนี้จะมีลักษณะที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม และปฏิบัติตามได้ยาก แต่ดูเหมือนว่าพนักงานของแอปเปิลทุกคนจะเรียนรู้ และปฏิบัติตามได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งที่ผ่านมา ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า การคิดต่างในแบบแอปเปิลนั้น ได้ทำให้บริษัทก้าวมาไกลเพียงใด
สตีฟ โทบัก ที่ปรึกษา นักเขียน และผู้บริหารระดับอาวุโสของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังของสหรัฐฯ ที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่า 20 ปี ได้ทำการศึกษาบุคคลที่ร่วมงานกับแอปเปิล  ที่เขาเปรียบเทียบว่า วัฒนธรรมแบบแอปเปิลเหมือนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของบริษัทในสหรัฐฯ เพราะแอปเปิลได้ฉีกทุกกฎที่ทุกคนเคยทำไว้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโทบักได้ข้อสรุปออกมาเป็น 10 วิธีที่คิดต่างในแบบแอปเปิล ที่ทำให้บริษัทนี้ โดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆ และพลิกฟื้นจากบริษัทที่ใกล้ล้มละลาย มาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงเป็นอันดับสองของโลก ดังนี้

1. เสริมสร้างให้พนักงานคิดต่าง  พนักงานคนหนึ่งของแอปเปิลกล่าวว่า สตีฟ จ็อบส์มักจะพูดเสมอว่าเราต้องทำสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น และเขาเชื่อว่าพวกเราทำได้
2. สิ่งที่สำคัญคือการให้คุณค่า อย่าใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย  พนักงานของแอปเปิลทุกคนเห็นว่าออฟฟิศเป็นสถานที่ที่สนุกที่จะทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่กันอย่างไร้กฎระเบียบ ใครจะทำอะไรก็ได้ แต่ว่างานต้องเสร็จเรียบร้อย ซึ่งโทบักเคยเข้าประชุมร่วมกับผู้บริหารของแอปเปิล ที่มาร่วมประชุมด้วยเท้าเปล่า ที่น่าแปลกก็คือไม่มีใครสังเกตเห็นซะด้วยซ้ำ
3. รักและใส่ใจกับผู้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ
4. ทำทุกสิ่งที่สำคัญ และทำจากใจ โทบักต้องข้อสังเกตว่า การบริหารงานของแอปเปิลนั้นจะไม่มีการแยกฝ่ายกันอย่างชัดเจน ทุกอย่างต้องทำภายใต้การรับผิดชอบร่วมกัน
5. ดูแลการตลาดอย่างใกล้ชิด จ็อบส์ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดเป็นอย่างมาก โดยแอปเปิลจะไม่มีการจ้างบริษัทอื่นเพื่อมาทำการวิจัยทางการตลาด แต่พวกเขามีทีมเป็นของตัวเองในการรับผิดชอบเรื่องนี้
6. ควบคุมสาส์นที่จะสื่อออกไปถึงผู้บริโภค ซึ่งแอปเปิลจะมีวิธีการในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และการประชาสัมพันธ์บริษัทที่แตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด
7. สิ่งเล็กๆน้อยๆก็อาจสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้  พนักงานของแอปเปิลรู้ซึ้งถึงแนวคิดนี้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ระหว่างการเปิดตัวไอโฟน 4 ซึ่งเป็นช่วงที่พนักงานทุกคนทำงานอย่างหนัก ผู้บริหารก็สั่งอาหารอย่างดีมาให้ บางสาขาถึงกับลงทุนจ้างพนักงานนวดมาเพื่อนวดคลายเส้นให้แก่พนักงานของแอปเปิลโดยเฉพาะ
8. อย่าปล่อยให้คนทำงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องปล่อยให้พวกเขาทำงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  จ็อบส์เคยกล่าวเอาไว้ว่า หน้าที่หลักของเขาคือทำยังไงให้พนักงานทำงานดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคำตอบก็คือ เขาจะต้องคอยผลักดันให้พนักงานทุกคนก้าวหน้า
9. เมื่อคุณค้นพบว่าสิ่งนั้นทำแล้วได้ผล จงทำต่อไปเรื่อยๆ  แอปเปิลเป็นบริษัทที่ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด และพัฒนาจนสิ่งนั้นๆล้ำหน้ากว่าคนอื่น
10. การคิดต่าง จ็อบส์เคยกล่าวไว้ในงานวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดว่า อย่าปล่อยให้เสียงหรือความคิดของคนอื่น ดังกว่าเสียงหรือความคิดของตัวคุณเอง ดังนั้น ไม่ว่าสิ่งที่คุณคิดจะแตกต่างจากคนอื่นแค่ไหน จงเชื่อมั่นและทำต่อไป

สร้างตนเองให้มีเครดิตด้วยบุคลิกดีๆ

สร้างตนเองให้มีเครดิตด้วยบุคลิกดีๆ

   ทุกๆ ปีที่ผ่านมาเมื่อถึงสิ้นปี เชื่อแน่ว่าคุณก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่ลุ้นโบนัสและเงินเดือนขึ้นจนตัวโก่งแน่นอน แต่พอความจริงปรากฏกลับพลิกล็อค เพื่อนหลายคนหัวเราะชอบใจเพราะได้เกินความคาดหมาย ตรงกันข้ามกับคุณ กลับต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า ทั้งๆ ที่คุณก็ทำงานหนักพอๆ กับคนอื่น
ในเมื่อคุณตั้งอกตั้งใจ ทำงานออกอย่างนั้น แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ เหตุผลที่ทำให้อดสงสัยไม่ได้ก็คือเรื่องเจ้านายนั่นเอง จะเป็นเพราะเจ้านายไม่ชอบหน้าหรือว่าไม่ได้เลียแข้งเลียขา ประจบเจ้านายขอขึ้นเงินเดือนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่ทำให้ผลออกมาไม่น่าพอใจ
ไอ้เรื่องอย่างนี้ใครๆ ก็เบื่อ แต่ก็ไม่มีใครหนีพ้น ดังนั้น ถ้าคุณอยากอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ก็คงต้องทำใจกันหน่อย เพราะมันเป็นธรรมดาของมนุษย์
ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ที่สุด คุณคงไม่ภูมิใจแน่ ถ้าเดินขึ้นแท่นรับรางวัล ท่ามกลางเสียงสาปแช่งของบรรดาเพื่อนฝูงรอบข้าง แทนที่จะเป็นเสียงปรบมือชื่นชม
แนะนำให้หาทางใหม่ที่สังคมยอมรับจะดี กว่า อย่างน้อยมันก็ช่วยให้คุณเดินไปไหนมาไหนได้สบายๆ ไม่ต้องกังวลเสียงด่านินทาลับหลัง กระนั้นก็เถอะ ต่อให้เจ้านายจะชอบคนประจบขนาดไหนก็ต้องเกรงใจแน่ๆ ถ้าคุณใช้วิธีต่อไปนี้
แสดงความสามารถที่มีอยู่
ก่อนอื่นต้องเข้าใจเสียก่อน ว่าคนที่ได้รับผลตอบแทนจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนตำแหน่ง, โบนัสหรือว่าขึ้นเงินเดือนนั้น มาจากความสามารถที่สมควรได้รับ ไม่ใช่เพราะความสามารถพิเศษในการเลียแข้งเลียขาเจ้านาย
มีหลายคน เข้าใจว่าาทำงานให้สมกับเงินเดือนเท่านั้นเป็นพอ มันก็เป็นจริงสำหรับคนที่ทำงานไปวันๆ แต่สำหรับคนที่รักความก้าวหน้า ถ้าคิดอย่างนี้เห็นทีจะแย่ เพราะการทำงานตามหน้าที่ให้เสร็จไปวันๆ เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้ คุณไม่อยากนิ่งอยู่กับที่ ก็ควรจะแสดงความสามารถที่มีอยู่ให้เจ้านายเห็น ว่าสามารถทำงานในตำแหน่งที่สูงกว่าได้ รับรองว่าชื่อคุณต้องเป็นที่จับตามองแน่นอน แต่ยังไงก็อย่าทำงานข้ามหน้าข้ามตา หรือก้าวก่ายงานคนอื่นก็แล้วกัน
ทำงานด้วยความกระตือรือร้น
คนไม่เก่งแต่ขยัน มักจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนเก่งแต่ขี้เกียจ ไม่ว่าคุณจะเข้าข่ายเก่งหรือไม่ แต่ถ้าขยันและกระตือรือร้นซะอย่าง เชื่อเถอะว่าไม่มีใครกล้ามองข้ามคุณไปหรอก ที่สำคัญพยายามทำให้เป็นนิสัยเสมอต้นเสมอปลายเข้าไว้
นอกจากนี้ คุณควรจะสร้างบรรยากาศการทำงานให้มีชีวิตชีวามากขึ้น จะได้ไม่น่าเบื่อ อย่าลืมว่าการมีเพื่อนเยอะๆ จะช่วยให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

คุณอาจจะหาคู่หูในที่ทำงานสักคน เผื่อเอาไว้เป็นที่ปรึกษา และคอยกระตุ้นไม่ให้ขี้เกียจ ก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน
ทำตัวให้เป็นที่รักของคนรอบข้าง
ใครที่พูดเก่งหรือว่าคุยเก่งถือว่า โชคดีไป เพราะได้เปรียบในการเจรจาหรือปรึกษาเรื่องงาน ส่วนคนเงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร อาจเกิดอุปสรรคในการทำงานได้เหมือนกัน เพราะเวลาต้องการคำปรึกษาปัญหารือขอความผิดพลาดจากใคร จะไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร ถึงคุณจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่เพื่อชีวิตการทำงานที่ราบรื่น แนะนำให้ยิ้มเข้าไว้ เป็นการสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีที่สุด
อ่านหนังสือหาความรู้
สมัยนี้คนอ่านหนังสือกันน้อยลง โดยเฉพาะคนทำงาน ส่วนมากจะอ้างว่าไม่มีเวลา ใครคิดอย่างนั้นก็อย่าหวังก้าวหน้ากันเลย เพราะความรู้ทั้งหมดออกมาจากหนังสือ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องพยายามหาเวลาอ่านหนังสือให้ได้ การอ่านหนังสือจะช่วยให้มุมมองและความคิดของคุณกว้างไกลขึ้น
หนังสือที่เลือกอ่าน นอกจากจะเป็นหนังสือที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานที่ทำอยู่แล้ว ก็น่าจะหาหนังสือที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินด้วย ช่วยผ่อนคลายความเครียดไปในตัว ถ้ามีเวลาว่างมากหน่อย ก็ควรจะหาหนังสือประเภทอัตชีวประวัติของคนที่น่าสนใจมาอ่านประดับความรู้ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำงานและการดำเนินชีวิต
พิถีพิถันเรื่องความสะอาดเรียบร้อย
คงไม่มีใครที่ให้เครดิตคุณเต็มร้อย หรอก ถ้าคุณยังขืนแต่งตัวไม่เข้าท่า ไม่สะอาด แถมโต๊ะทำงานรกรุงรังอย่างกับรังหนู การแต่งตัวง่ายๆ (ง่ายเกินไป) ประเภทไม่ค่อยสนใจตัวเอง เช่น ไม่เคยรีดผ้าที่ใส่มาทำงาน, รองเท้าไม่เคยขัด, ไว้หนวดเครารุงรัง หรือว่าไม่ยอมแก้ปัญหากลิ่นตัว
การแต่งตัวมอซออาจใช้ได้ดีกับวงการศิลปิน แต่รับประกันได้เลยว่า มันใช้ไม่ได้ผลกับวงการธุรกิจแน่นอน เพราะ ในสังคมการทำงานที่ต้องติดต่อกับคนมากๆ หรือทำธุรกิจ จะต้องมีบุคลิกที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเครดิตเหล่านี้มาจากภาพรวมที่มองเห็น เช่นความสะอาดเรียบร้อยในการแต่งกาย ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา
การแต่งตัวให้ดูดีนั้น ไม่ใช่หมายความว่าต้องเป็นเสื้อผ้าราคาแพงเสมอไป มันไม่เกี่ยวกันหรอกครับ ขอเพียงให้สะอาดเรียบร้อยก็ใช้ได้แล้ว
สร้างเครดิตดีๆ ให้กับตนเอง
ถ้าการสร้างเครดิต หรือความเชื่อถือ เป็นสิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ คุณคงไม่เห็นคนส่วนใหญ่กระตือรือร้น หาหนทางสร้างเครดิตให้กับตัวเอง เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่คุณต้องการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ เพื่อให้คนรอบข้างนับถือ คุณก็จำเป็นต้องมีคุณสมบัติที่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกริยามารยาท การพูดจา หรือแม้แต่การแต่งกาย
การสร้างเครดิตให้ตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่คุณต้องพิถีพิถัน และรอบคอบเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าคุณอยากสร้างความประทับใจ และความไว้เนื้อเชื่อใจเมื่อแรกพบด้วยแล้ว คุณสมบัติดังกล่าวควรมีอยู๋ในตัวคุณ
และต่อไปนี้ คือเทคนิคการสร้างเครดิตให้ตัวเองในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้นัดครั้งแรกของคุณ ในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจไปได้สวย


จับมือ...จับให้แน่น กระชับ และมั่นใจ อย่าเขย่ามือบ่อยเกินกว่า 3 ครั้ง อย่าลืมพยายามสบตากับอีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้ม
ยืนห่างประมาณ 3-4 ฟุต...นี่ เป็นระยะมาตรฐานในการยืนสนทนาพบปะผู้คนทั่วไป ถ้าเข้าไปใกล้มากกว่านี้ จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกอีดอัดได้ แต่ถ้าไกลกว่านี้ ความรู้สึกห่างเหินย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย แถมดูไม่ค่อยใส่ใจคู่สนทนาอีกด้วย
ยืนข้างๆ...การ เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายหนึ่งตรงๆ ตำแหน่งที่ยืนควรจะเป็นด้านข้าง และเฉียงออกเล็กน้อย การยืนเช่นนี้ จะทำไห้คุณดูสนใจฝ่ายตรงข้าม มากกว่ายืนตรงข้ามกันตรงๆ
ท่าทางเวลาจับมือ...ถ้า มีโอกาส อาจจะยื่นมือทั้งสองข้างไปจับมือข้างหน้า ซึ่งกริยาท่าทางนี้ เป็นการเคารพนอบน้อม ซื่อสัตย์ และดูเป็นคนโปร่งใส ไม่มีความลับอะไรปิดบังซ่อนอยู่
ลาด้วยการสัมผัส...เวลา ที่คุณต้องการคั่นบทสนทนาหรือจบการพูดคุย ก็ควรจบด้วยการสัมผัสเบาๆ ที่แขน หรือไม่ก็ลูบไหล่คู่สนทนาเบาๆ (ในกรณีผู้ชายกับผู้ชาย) มันเป็นวิธีการที่ดี เป็๋นมิตร และอบอุ่นที่สุด โดยเฉาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่กว่า หรือมีตำแหน่งสูงกว่า
แต่วิธีการลาจากด้วยการสัมผัสแขน หรือไหล่ของคู่สนทนาที่เป็นผู้หญิงนั้น เป็นสิ่งที่คุณควรระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะดูจะไม่ค่อยเหมาะนัก โดยเฉพาะในการพบปะครั้งแรก คุณควรให้การพูดจาสื่อความเป็นมิตรจะดีกว่า ถึงแม้ว่าความจริง การสัมผัสจะให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นมิตรมากกว่า
สิ่งต่างๆ ด้วยวิธีไม่ยากนักเหล่านี้ มันจะช่วยทำให้คุณดูมีบุคคลิกที่ดี น่าประทับใจ และน่าเชื่อถือได้อย่างไม่น่าเชื่อ และแน่นอนที่สุด มันย่อมช่วยให้บันไดความสำเร็จของคุณอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมถึง

Wednesday, October 10, 2012

8 มีนาคม วันสตรีสากล

วันสตรีสากล (8 มีนาคม)
        เพื่อ เรียกร้องสิทธิของผู้ใช้แรงงานหญิงที่ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบและการถูก เลือกปฏิบัติที่มีต่อชนชั้นแรงงาน จึงเป็นกำเนิดของวันสตรีสากล ดังนั้น ในวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปี ซึ่งองค์กรที่ทำงานด้านผู้หญิงหลายประเทศทั่วโลกได้มีการจัดงานวันสตรีสากล ขึ้น เพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ของกลุ่มผู้ใช้แรงงานหญิง และเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสวันสตรีสากล รวมทั้งการจัดกิจกรรมรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลง หรือแก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่ผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบตามสถานการณ์ของแต่ละประเทศ
ความเป็นมาวันสตรีสากล
        ณ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา กรรมกรสตรีในโรงงานทอผ้าได้ลุกฮือขึ้นเดินขบวนประท้วงการเอาเปรียบ กดขี่ ขูดรีด ทารุณ จากนายจ้างที่เห็นผลผลิตสำคัญกว่าชีวิตคน ความเป็นอยู่ของแรงงานสตรีในเมืองชิคาโก ว่ากันว่าไม่ต่างอะไรจากทาสนิโกรในเงื้อมมือคนผิวขาว เพราะต้องทำงานวันละ 12-15 ชั่วโมง แต่ได้รับค่าแรงานเพียงน้อยนิดส่วนสตรีตั้งครรภ์มักถูกไล่ออก
        ในที่สุดภายใต้การนำของ คลาร่า แซทคิน ผู้นำกรรมกรสตรีโรงงานทอผ้าชาวเยอรมันลุกฮือขึ้นสู้ด้วยการเดินขบวนนัดหยุด งานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 โดยเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานจากวันละ 12-15 ชั่วโมง ให้เหลือวันละ 8 ชัวโมงพร้อมทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการภาย ในโรงงาน และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย ในการเรียกร้องครั้งนี้ แม้จะมีหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากสตรีทั้งโลก และส่งผลให้วิถีการผลิตแบบทุนนิยมเริ่มสั่นคลอน
        แต่อย่างไรก็ตามอีก 3 ปีต่อมา คือ ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1910 ข้อเรียกร้องของเหล่าบรรดากรรมกรสตรีก็ประสบความสำเร็จ เมื่อตัวแทนสตรีจาก 18 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยม ครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี โดยให้ลดเวลาทำงานให้เหลือเพียงวันละ 8 ชั่วโมง ศึกษาหาความรู้ 8 ชั่วโมง พักผ่อน 8 ชั่วโมง และกำหนดให้ค่าแรงงานสตรีเท่าเทียมกับค่าแรงงานชาย อีกทั้งยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย
        นอกจากนั้นในการประชุมครั้งนั้น ยังได้มีการรับรองข้อเสนอของ คลาร่า แซทคิน ด้วยการประกาศให้วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสตรีสากล
วันสตรีสากลในประเทศไทย
        สำหรับประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2532 ได้มีการก่อตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (กสส.) ขึ้นอย่างเป็นทางการ ดังนั้นวันที่ 8 มีนาคมของ ทุกปี จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อฉลองเนื่องในโอกาสวันสตรีสากล และระลึกถึงความเป็นมาแห่งการต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งความเสมอภาค ยุติธรรม สันติภาพ และการพัฒนา
        และจัดตั้งขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวันมหามงคล 12 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระองค์ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะ ตรากตรำบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อให้คนไทยได้มีอาชีพ และได้พระราชทานให้วันที่ 1 สิงหาคมเป็น "วันสตรีไทย" ของทุกปี เพื่อให้ผู้หญิงไทยมีโอกาสแสดงถึงความรู้ ความสามารถในการพัฒนาประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันสังคม และให้สามารถเทียบเท่าสตรีสากลของหลายประเทศที่เจริญแล้ว
        ซึ่งทุกวันที่ 8 มีนาคมของ ทุกปี จะมีการประกาศถึงเกียรติประวัติของสตรีชั้นแนวหน้าของโลกทั้งที่มีชีวิต และที่เสียชีวิตไปแล้ว เช่น เจ้าหญิงไดอาน่า แห่งอังกฤษ, แม่ชีเทเรซา แห่งประเทศอินเดีย, ประธานาธิบดี เมกาวลี แห่งอินโดนีเซีย และนางอองซานซูจี ของพม่าที่เรียกร้องประชาธิปไตยกับประเทศ ส่วนในประเทศไทยมีอยู่หลายท่าน เช่น คุณหญิงแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนาสุนันท์, คุณสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ และคุณปวีณา หงสกุล ฯลฯ
        วันสตรีไทยถือ เป็นวันสำคัญวัน หนึ่ง เพราะเปิดโอกาสให้ผู้หญิงไทยออกมาทำกิจกรรมร่วมกัน จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันสตรีมีบทบาทมากขึ้น มีความสามารถทัดเทียมผู้ชาย เป็นที่ยอมรับจากสังคม จะเห็นได้จากหน่วยงานราชการและภาคเอกชนเริ่มมีสตรีเข้าไปเป็นหัวหน้างานมาก ขึ้น รวมถึงการเข้าไปมีบทบาทในการบริหารประเทศชาติ สตรีไทยในยุคปัจจุบัน จึงต้องเป็นสตรีที่มีความรู้ความสามารถครบถ้วนทุกๆ ด้าน ทั้งด้านการบริหาร การจัดการ การเป็นแม่ที่ดีของลูก เป็นภรรยาที่ดีของสามี และเป็นแม่ศรีเรือนที่ดี พร้อมทั้งต้องก้าวทันกับยุคสมัย เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- อักษรดอทคอม

36 แผนที่ชีวิตของพ่อ ( พระบรมราโชวาทจากในหลวง)


 1. ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
2. อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก ปัญญา และความกล้าหาญ
3. เพื่อนใหม่ คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วนเพื่อนเก่า หรือ มิตร คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
4. อ่านหนังสือธรรมะปีละเล่ม
5. ปฏิบัติต่อคนอื่น เช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
6. พูดคำว่า ขอบคุณให้มากๆ
7. รักษา ความลับ ให้เป็น
8. ประเมินคุณค่าของการให้ อภัย ให้สูง
9. ฟังให้มาก แล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
10. ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิ และรู้แก่ใจว่า เป็นจริง
11.หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
12. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนัก คิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
13. อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์
14. ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
15. อย่าหยิ่งหากจะกล่าวว่า ขอโทษ
16. อย่าอายหากจะบอกใครว่า ไม่รู้
17 ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง
18. เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป
19 การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
20. คนไม่รักเงิน คือคนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต
21. ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อน คือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
22. ชีวิตนี้ฉันไม่เคยได้ทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด
23. จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน
24. เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจสิ่งที่เราพูด
25. เหรีญเดียวมีสองหน้า ความสำเร็จกับล้มเหลว
26. อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น
27. ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
28. อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ ( อย่าใจร้อน)
29. ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้
30. ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ผิดหมด
31. ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ
32. จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
33. ดาวและเดือนที่อยู่สูง อยากได้ต้องปีน บันไดสูง
34. มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
35. หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
36. ระเบียบวินัย คือคุณสมบัติ ที่สำคัญในการดำเนินชีวิตขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

วันตรุษจีน

ตรุษจีน ปีกระต่าย 2554 2010 happy new year chinese
วันตรุษจีน
โดยปกติวันตรุษจีน จะมีวันที่เกี่ยวข้อง และติดกัน 3 วัน คือ

1. วันจ่าย คือ วันสำหรับออกไปจับจ่ายอาหาร ผลไม้ และเครื่องเซ่น มาเตรียมไว้ 
2. วันไหว้ คือ วันที่ทำพิธีไหว้เจ้า เป็นวันสิ้นปีของจีน
3. วันตรุษจีน หรือ วันขึ้นปีใหม่ หรือ วันเที่ยว หรือ วันถือ คือ วันตรุษจีน

 

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้

               


     เทศกาลตรุษจีน เป็น เทศกาลที่สำคัญที่สุดของชาวจีน (รวมถึงอาตี๋อาหมวยในเมืองไทยทั้งรุ่นเล็กถึงรุ่นใหญ่) เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน ในปีนี้ตรงกับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 ทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่างหยุดงาน โรงเรียน สถาบันการศึกษาต่างก็ปิดเทอมในช่วงนี้ ผู้คนต่างๆ ก็มีการตระเตรียมงานปีใหม่ ทุกๆ บ้านก็จะทำความสะอาดบ้านเรือน (ให้สดใสซาบซ่า)

     ร้านค้า-ห้างสรรพสินค้าต่างก็เต็มไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้กับเด็กๆ
 และของขวัญ-บัตรอวยพร ให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย

     ในตลาดก็เติมเต็มไปด้วยผู้คน เดินไปเดินมากันขวักไขว่ ซื้อปลาบ้างล่ะ เนื้อเป็ดไก่บ้างล่ะ ทุกคนต่างดูแจ่มใสมีความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่ เด็กๆ และผู้คนจะมีความสุขมาก ได้สวมเสื้อผ้าใหม่ ในเทศกาลตรุษจีน อย่างรื่นเริงบันเทิงใจ

     
     คืน ก่อนวันปีใหม่ คือ วันสุดท้ายของปีนั่นเอง และเป็นคืนที่สนุกสนานครึกครื้นที่สุด ใครที่ไปทำงานห่างจากบ้านเกิด ต่างก็กลับมาฉลองวันปีใหม่ที่บ้าน ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งกันพร้อมหน้าล้อมโต๊ะรับประทานอาหาร ในบ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ พอถึงเที่ยงคืน คนจีนทางเหนือก็จะเริ่มทำเกี๊ยว คนจีนทางใต้ ก็จะปั้นลูกอี๋ต่างก็ทำไป ชิมไป บ่นไป (อันนี้ไม่รู้ว่าผิดตามพจนานุกรม หรือเปล่า..) ครึกครื้นอย่างยิ่ง และในวันรุ่งขึ้น ทุกคนจะตื่นแต่เช้า เพื่อเยี่ยมเพื่อนบ้าน-เพื่อนฝูง อวยพรปีใหม่กัน
ประวัติวันตรุษจีน
     วันตรุษ จีนนั้น ย่อมมีพิธีกรรม และร่องรอยของประเพณี ความเป็นมานานกว่าศตวรรษ แต่ไม่อาจจะบอกได้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และวันตรุษจีนเป็นการฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ โดยจะมีการเตรียมหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, อาหาร, เสื้อผ้า และสิ่งของต่างๆ การทำความสะอาดบ้านเรือนครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน ตั้งแต่บน-ล่าง (บน ล่าง กลาง เท๊า อ้าว! เลี๊ยบตุ่ยนี่หว่า) หน้าบ้าน-ท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึง การกวาดเอาโชคร้ายออกไป และประตูหน้าต่างมีการทำความสะอาด ทาสีใหม่ ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่าง เช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย รุ่งเรือง และอายุยืน เป็นต้น
     วัน ก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่งการการรอคอย จะว่าไปถือเป็นวันที่น่าตื่นเต้นมากที่สุด จะได้เห็น ประเพณี และพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่อาหาร-เสื้อผ้า ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆ กัน เช่น

-กุ้ง หมายถึง ชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข
-เป๋าฮื้อแห้ง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี
-สลัดปลาสด หมายถึง จะนำมาซึ่งโชคดี
-จี้ไช่
สาร่ายดูคล้ายเส้นผม (ผมเทวดา) หมายถึง จะนำความความร่ำรวยมาสู่ครอบครัว

และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่ "สีแดง" (ชุดแดงต้องแรงไว้ก่อน เพลงนะครับเพลง) ถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดำ หรือสีขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้า เพื่อรอวันใหม่ และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงใตแต่ละปี

     "อังเปา" ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการให้เงินให้ทองเด็กๆ และผู้เยาว์ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานแสดงโคมไฟ และแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขทุกคน
อาหารไหว้เจ้า
     ใน วันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆ อาหารชนิดต่างๆ ที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่ เรียกว่า "ไช่" หลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆ มีความหมายที่ เป็น มงคล เช่น

เม็ดบัว
- การมีลูกหลานที่เป็นชาย
เกาลัด - เงิน
สาหร่ายดำ - ความร่ำรวย
เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - เต็มอิ่มกับความ ร่ำรวย และความสุข (เต้าหู้ที่ทำจากถั่วสดนั้น จะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้ เนื่องจากสีขาวซึ่งเป็นสีแห่งโชคร้ายสำหรับปีใหม่ และ หมายถึงการไว้ทุกข์)
หน่อไม้ -
ให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข ปลาทั้งตัว - เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดมสมบรูณ์
เส้นหมี่ - ชีวิตที่ยืนยาว
     ทางตอนใต้ของจีน อาหารที่นิยมที่สุด และทานมากที่สุดได้แก่
ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ
     ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวนมากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้ มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ และความร่ำรวยรุ่งเรือง
 
ความเชื่อโชคลางในวันตรุษจีน
     ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบ หรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล และมีความหมายเป็นนัย และคำว่า "สี่" ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมาในวันนี้ ต้องไม่มีการพูดถึงความตาย หรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสาง เป็นเรื่องที่ต้องห้าม เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง ซึ่งการพูดควรมี แต่เรื่องอนาคต และการเริ่มต้นใหม่ในปีใหม่ หรือหาก ร้องไห้ในวันปีใหม่ ก็จะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดี ผู้ใหญ่ก็จะอดทน ที่จะไม่ดุด่า หรือต่อว่าสั่งสอน
     การแต่งกายสะอาด ในวันตรุษจีน และไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะ หมายถึง เราชะล้างความโชคดีของเราออกไป "สีแดง" เป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ ซึ่งจะนำความสว่าง และเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่ เชื่อกันว่าอารมณ์ และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดี หรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี และจะมีการแจก "อังเปา" ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วยธนบัตรใหม่ เพื่อความโชคดี
     วัน ตรุษจีน กับความเชื่ออื่นๆ สำหรับคนที่เชื่อโชคลางมากๆ ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อน หรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้าน และทางที่จะไปเพื่อความเป็นสิริมงคล
     บุคคล แรก ที่พบ พร้อมคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลง หรือเห็นนกสีแดง, นกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี
     การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ ถือเป็นโชคร้าย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วย ก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขกไม่ควรใช้มีด หรือกรรไกรในวันตรุษจีน เพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดีให้หายไปทั้งปี
     ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่า ชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมา แต่ทุกคนก็ยังคงยึดถือ และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และรากเหง้าทางวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน หรือลูกหลานเชื้อสายจีน ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมแต่เก่าก่อน เป็นการแสดงถึงความเป็น ครอบครัว และเคารพบรรพชนของตนเอง

15 วันแห่งการฉลองตรุษจีน
     วัน ที่ 1 ของปีใหม่ เป็นการต้อนรับเทวดาแห่งสวรรค์ และโลก หลายคนงดทานเนื้อ ในวันนี้เชื่อกันว่าจะเป็นการต่ออายุ และนำมาซึ่งความสุขในชีวิตให้กับตนเอง
     วันที่ 2 ชาวจีนจะไหว้บรรพชน รวมถึงเทวดาทั้งหลาย และจะดีเป็นพิเศษกับสุนัข
     วันที่ 3-4 เป็นวันของบุตรเขยที่จะต้องทำความเคารพแก่ พ่อตา แม่ยาย ของตน
     วันที่ 5 เรียกว่า พูวู ซึ่งวันนี้ทุกคนจะอยู่กับบ้าน เพื่อต้อนรับการมาเยือนของเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย
     วันที่ 6 ชาวจีนจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้อง-เพื่อนฝูง พร้อมทั้งไปวัดสวดมนต์ เพื่อความร่ำรวย และความสุข
     วัน ที่ 7 ของตุรุษจีนเป็นวันที่ชาวไร่-ชาวนาชาวจีน นำเอาผลผลิตของตนออกมาทำน้ำที่ทำมาจากผักเจ็ดชนิด เพื่อฉลองวันนี้วันที่เจ็ดถือเป็นวันเกิดของมนุษย์ และอาหารในวันนี้จะเป็น หมี่ซั่ว-กินเพื่อชีวิตที่ยาวนาน และปลาดิบ-กินเพื่อความสำเร็จ
     วัน ที่ 8 ชาวฟูเจี้ยน จะมีการทานอาหารร่วมกันกับครอบครอบอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนจะสวดมนต์ของพรจาก เทียนกง เทพแห่งสวรรค์
     วันที่ 9 สวดมนต์ไหว้พระ และถวายอาหารแก่ เง็กเซียนฮ่องเต้
     วันที่ 10-12 เป็นวันของเพื่อน และญาติๆ  ซึ่งเชื้อเชิญมาทานอาหารเย็น

     วันที่ 13 ถือเป็นวันที่ควรทานข้าวธรรมดา กับผักดอง ถือเป็นการชำระล้างร่างกาย

     วันที่ 14 เป็นวันที่เตรียมงานฉลองโคมไฟ

     วันที่ 15 คืนแห่งการฉลองโคมไฟ วันตรุษจีน

คำอวยพรซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ หรือ ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ > ปีใหม่ขอให้ทุกอย่างสมหวัง-ปีใหม่ขอให้ร่ำรวย
เจาไฉจิ้นเป้า > เงินทองไหลมาเทมา
ฟู๋ลู่ซวงฉวน > เงินทอง อำนาจ วาสนา
จู้หนี่เจี้ยนคัง >
ขอให้สุขภาพแข็งแรง
จู้หนี่ฉางโส่ว
> ขอให้อายุยืนยาว
จู้หนี่ซุ่นลี่ > ขอให้ประสบความสำเร็จ


ที่มา:บุปผาหยก
..เหลือขุนเขาแมกไม้ ไยต้องกลัวไร้ฟืนไฟ
ไม่มีผืนดินใด ที่ยืนแล้วสุขใจ เหมือนผืนดินของเรา
เดินทางร่วมกันหมื่นลี้ สุดท้ายก็ต้องจากกัน
==========================================================
ตรุษจีน หรือ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ (ตัวเต็ม: 春節, ตัวย่อ: 春节, พินอิน: Chūnjíe ชุนเจี๋ย) หรือ ขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ (ตัวเต็ม: 農曆新年, ตัวย่อ: 农历新年, พินอิน: Nónglì Xīnnián หนงลี่ ซินเหนียน) และยังรู้จักกันในนาม วันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก เทศกาลนี้เริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 ของปีตามจันทรคติ (正月 พินอิน: zhèng yuè เจิ้งเยฺว่) และสิ้นสุดในวันที่ 15 ซึ่งจะเป็นเทศกาลประดับโคมไฟ (ตัวเต็ม: 元宵節, ตัวย่อ: 元宵节, พินอิน: yuán xiāo jié หยวนเซียวเจี๋ย)
คืนก่อนวันตรุษจีน ตามภาษาจีนกลางเรียกว่า 除夕 (พินอิน: Chúxì ฉูซี่) หมายถึงการผลัดเปลี่ยนยามค่ำคืน
ในวันตรุษจีนจะมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยเฉพาะชุมชนเชื้อสายจีนขนาดใหญ่ และตรุษจีนถือเป็นวันหยุดที่สำคัญมากช่วงหนึ่งของชาวจีน และยังแผ่อิทธิพลไปถึงการฉลองปีใหม่ของชนชาติที่อยู่รายรอบ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี เมี่ยน ม้ง มองโกเลีย เวียดนาม ทิเบต เนปาล และภูฐาน สำหรับชาวจีนที่อาศัยอยู่ต่างถิ่นกันก็จะมีประเพณีเฉลิมฉลองต่างกันไป ในประเทศไทย

ตรุษจีนในประเทศไทย

ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว
  • วันจ่าย คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ (地主爺 / 地主爷 ตี่จู้เอี๊ย) ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ว
    • ตอนเช้ามืดจะไหว้ "ป้ายเล่าเอี๊ย" (拜老爺 / 拜老爷) เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์สามอย่าง (ซาแซ ซำเช้ง) ได้แก่ หมู เป็ด ไก่ หรือเพิ่มตับ ปลา เป็นเนื้อสัตว์ห้าอย่าง (โหงวแซ) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
    • ตอนสาย จะไหว้ "ป้ายแป๋บ้อ" (拜父母) คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เ
กินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว
    • ตอนบ่าย จะไหว้ "ป้ายฮ่อเฮียตี๋" (拜好兄弟) เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเพื่อเป็นสิริมงคล
  • วันเที่ยว หรือ วันถือ คือวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันที่หนึ่ง (初一 ชิวอิก) ของเดือนที่หนึ่งของปี วันนี้ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบันคือ "ป้ายเจีย" เป็นการไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะส้มออกเสียงภาษาแต้จิ๋วว่า "กิก" หรือ ภาษาฮกเกี้ยน "ก้าม"(橘) ซึ่งไปพ้องกับคำว่าความสุขหรือโชคลาภ (吉) [1] เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำความสุขหรือโชคลาภไปให้ จะมอบส้มจำนวน 4 ผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือคือ เป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้น

 ตรุษจีนในภูเก็ต

ชาวภูเก็ตเชื้อสายจีน โดยส่วนมากเป็นชาวจีนฮกเกี้ยนบ้าบ๋า จะมีระยะวันตรุษจีนทั้งสิ้นรวม 9 วันนับตั้งแต่ขึ้นปีใหม่จะต่างกับชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งวันตรุษจีนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 7 โดยวันตรุษจีนของชาวภูเก็ตจะสิ้นสุดลงเมื่อหลังเที่ยงคืนของวันที่ 9 หรือ วันป่ายทีก้องไหว้เทวดา และ จะถือประเพณีปฏิบัติไหว้อยู่ 6 วัน ได้แก่ก่อนตรุษจีนไหว้ 2 วัน และ หลังตรุษจีนไหว้ 4 วัน คือ
  • วันส่งเทพเจ้าเตาไฟขึ้นสวรรค์
    • ในวันที่ 24 ค่ำ เดือน 12 จ้าวฮุ่นกงเสด็จขึ้นสวรรค์เพื่อเข้าเฝ้าหยกอ๋องซ่งเต้ เพื่อกราบทูลเรื่องราวต่างๆภายในหนึ่งปีของเจ้าบ้านทั้งดีและชั่วจามบัญชีที่ได้จดบันทึก
      • ภาคเช้า เจ้าบ้านเตรียมผลไม้ 3 -7 อย่าง เพื่อสักการะเทพเจ้าทั้งสามแห่งโดยเฉพาะหน้าเตาไฟในครัวเรือนจ้าวฮุ่นกง
  • วันไหว้บรรพชน
    • คือวันสุดท้ายของเดือน 12 บางตำนานกล่าวว่าเทพเจ้าทั้งปวงจะเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ในช่วง วันที่ 28 -30 จะจัดเครื่องเซ่นไหว้ตามจุดดังนี่
      • ทีก้อง หรือ หยกอ๋องซ่งเต้ และเทพเจ้าทั้งบ้าน บ้านของคนจีนฮกเกี้ยนภูเก็ต จะมีป้ายและที่ปักธูปเทียนอยู่ทางซ้ายมือของหน้าบ้าน
      • เทพเจ้าประจำบ้าน หรือ เทพเจ้าประจำตระกูล ส่วนใหญ่จะอยู่ตรงห้องโถ่งของหน้าบ้าน เป็นเทพเจ้าประจำบ้านที่นับถือกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
      • บรรพชน จ้อกง จ้อม่า จ้อกงโป๋ บรพพบุรุษที่ล่วงลับ
      • จ้าวอ๋อง หรือ จ้าวฮุ่นก้อง คือเ เทพเจ้าครัวหรือ เทพเจ้าเตาไฟ
      • โฮ่วเหี่ยวเต่ คือ ไหว้บรรดาวิญญาณผีไม่มีญาติ
      • หมึงสิน คือ ไหว้เทพเจ้าประจำประตูบ้าน หรือ ทวารบาล บ้าน
    • ช่วงเวลาจะเซ่นไหว้ มี 3 เวลาคือ
      • เวลาเช้า ประมาณ 7 - 8 นาฬิกา ไหว้ทีก้อง เทพเจ้าบ้าน และจ้าวฮุ่นก้อง
      • เวลา ประมาณ 11 นาฬิกา ถึง ก่อนเทียงวัน ไหว้บรรพบุรุษ จ้อกง จ้อม่า และบรรพชน
      • เวลา ประมาณ 15 -16 นาฬิกา ไหว้โฮ่งเฮี่ยวเต่ บรรดาผีไม่มีญาติ
    • เครื่องเซ่นไหว้ตามแบบของชาวจีนฮกเกี้ยน
      • เวลาเช้าไหว้ทั้ง 3 แห่งดั้งนี้
        • ทีก้อง *(นิยมไหว้ในค่ำคืน โช่ยแปะก่อนที่จะเข้าวันโช่ยเก้า)
          • หมูต้ม 1 ชิ้น
          • หมี่เหลืองดิบ
          • ปูต้ม
          • กุ้งต้ม
          • หมึกแห้ง
          • สุราขาวจีน
          • เทียนก้องกิม(กระดาษทองฮกเกี้ยนแผ่นใหญ่)
        • เทพเจ้าประจำบ้าน หรือ ประจำตระกูล
          • หัวหมู 1 หัว
          • หมี่เหลืองดิบ
          • ปูต้ม
          • กุ้งต้ม
          • หมึกแห้ง
          • สุราขาวจีน
          • ไก่ต้มมีหัว
        • เทพเจ้าเตาไฟ หรือ จ้าวฮุ่นก้อง
          • หมี่เหลืองดิบ
          • ปูต้ม
          • กุ้งต้ม
          • หมึกแห้ง
          • สุราขาวจีน
            • อาหารที่ไหว้เสร็จจากช่วงเช้าทุกชนิดนำไปประกอบอาหารเพื่อนไหว้ในช่วง บ่าย และเย็นต่อไป
      • เวลาบ่ายไหว้ จ้อกง จ้อม่า บรรพชน
        • ผลไม้ 3 - 7 ชนิด
        • ขนมหวาน
          • ตี่โก้ย (ขนมเข่ง )
          • ฮวดโก้ย (ขนมถ้วยฟู)
          • อั้งกู้โก้ย (ขนมเต่า)
          • บีโก้ (ข้าวเหนียวดำกวน)
          • แป๊ะทงโก๊
          • ก่าวเตี่ยนโก้ย (ขนมชั้น)
        • อาหารคาว
          • ผัดบังกวน (ผัดมันแกว)
          • โอต้าว (หอยทอดฮกเกี้ยน หารับประทานได้ที่ภูเก็ต)
          • ผัดบีฮุยะ (ข้าวเหนียวผัดกับเลือดหมูและกุ้ยช่าย)
          • ปลาทอดมีหัวมีหาง 1 ตัว
          • ต้าวอิ่วบ๊ะ (หมูผัดซีอิ๋ว)
          • ทึ่งบะกู๊ดเกี่ยมฉ่าย (ต้มจืดผักกาดดองซี่โคร่งหมู)
          • แกงเผ็ดไก้ใส่มันฝรั่ง
          • ผัดผัก ประกอบด้วย ซวนน่า กะหล่ำปลี ก่าเป๊ก
          • โปเปี๊ยะสด
          • โลบะ พร้อมน้ำจิ้ม
          • ซำเซ่ง;หง่อเซ่ง (เนื้อสัตว์ 3-5 ชนิด)
          • ข้าวสวย 5 ถ้วย พร้อมตะเกียบ
          • เต๋ (น้ำชา) 5 จอก
          • จุ๊ย (น้ำเปล่า) 1 แก้ว
          • สุราขาว 5 จอก
      • เวลาเย็นไหว้ โฮ่วเฮี่ยวเต่
          • องุ่น (ภาษาฮกเกี้ยน โป่โต๋)
          • แอปเปิล (ภาษาฮกเกี้ยน เป่งโก้)
          • สับปะรด (ภาษาฮกเกี้ยน อ่องหลาย)
          • ของไหว้จากช่วงเช้าแล้วแต่เจ้าบ้านจะนำไปทำเป็นอะไร
  • ไหว้วันขึ้นปีใหม่
    • วันที่ 1 ค่ำ เดือน 1 เป็นวันขึ้นปีใหม่ ช่วงเช้าเรียกว่า ป้ายเฉ่งเต๋ ด้วยการนำผลไม่มาไหว้เทพเจ้าประจำบ้าน
  • วันรับเสด็จจ้าวฮุ่นก้องเทพเจ้าเตาไฟ
    • ในที่ 4 ค่ำ เดือน 1 จะทำการ เชี้ยสิน เชิญพระจ้าวฮุ่นก้องกลับมาอยู่ยังบ้านในครัวเช่นเดิม โดยไหว้ตอนเช้า ของเซ่นไหว้ดังนี่
      • ผลไม้
      • เต่เหลี่ยว (จันอับ ของฮกเกี้ยนกับแต้จิ๋วจะมีเครื่องประกอบไม่เหมือนกัน)
      • โอต้าว (เพื่อเป็นกาวติดเงินติดทองที่จ้าวฮุ่นก้องนำมาให้จากสวรรค์)
      • น้ำชา
      • กระดาษไหว้เจ้า
  • วันป้ายจ่ายสินเอี๋ย หรือ วันไหว้เทพเจ้าไฉสิ่งเอี้ย
    • วันที่ 5 ค่ำ เดือน 1 เทพเจ้าแห่งโชคลาภจะเสด็จจากสวรรค์ตามฤกษ์ยามของแต่ละปี เพื่อลงมาประทานโชคลาภ
  • วันป้ายทีก้องแซ (拜天公) ไหว้เทวดา วันประสูติหยกอ๋องซ่งเต้
    • วัน ไหว้เทวดา ซึ่งเป็นวันที่สืบเนื่องต่อจากวันตรุษจีนเพียง 8 วัน หรือที่ชาวจีนเรียกว่า เก้าโหง็ย-โช่ยเก้า ถี่ก้งแซ้ซ่ง ซึ่งชาวจีนถือว่าเป็นวันเกิดของ หยกอ๋องซ่งเต้ เทพผู้เป็นใหญ่บนสรวงสวรรค์ที่ชาวจีนให้ความเคารพบูชาซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้ กัน โดยในวันไหว้เทวดาของชาวจีนจะนิยมถือปฏิบัติกันในวันขึ้น 9 ค่ำ และสิ่งที่ขาดมิได้ในวันนั้น คือเครื่องเซ่นไหว้ที่นำมาประกอบในพิธีบูชาเทวดา หยกอ๋องซ่งเต้ ซึ่งมีหลายรายการด้วยกันดังรายละเอียดต่อไปนี้

ประเพณีปฏิบัติ

  • สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของตรุษจีน คือ อั่งเปา (ซองแดง) คือ ซองใส่เงินที่ผู้ใหญ่แล้วจะมอบให้ผู้น้อย และมีการแลกเปลี่ยนกันเอง หรือ หรือจะใช้คำว่า แต๊ะเอีย (ผูกเอว) ที่มาคือในสมัยก่อน เหรียญจะมีรูตรงกลาง ผู้ใหญ่จะร้อยด้วยเชือกสีแดงเป็นพวงๆ และนำมามอบให้เด็ก ๆ ซึ่งจะนำมาผูกเก็บไว้ที่เอว

คำอวยพร

ในตรุษจีน ชาวจีนจะกล่าวคำ ห่ออ่วย หรือคำอวยพรภาษาจีนให้กัน หรือมีการติดห่ออ่วยไว้ตามสถานที่ต่างๆ คำที่นิยมใช้กัน ได้แก่
  • 新年快樂 / 新年快乐 (จีนกลาง: ซินเหนียนไคว่เล่อ) นิยมใช้ในประเทศจีน
  • 過年好 / 过年好 (จีนกลาง: กั้วเหนียนห่าว) ใช้โดยชนพื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศจีน วลีนี้ยังหมายถึงวันที่หนึ่งถึงวันที่ห้าของปีใหม่ด้วย
  • 新正如意 新年發財 / 新正如意 新年发财 (แต้จิ๋ว: ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ จีนกลาง: ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาฉาย ฮกเกี้ยน:ซินเจี่ยหยู่ลี่ ซินเหนี๋ยนฮวดจ๋าย) แปลว่า ขอให้ประสบโชคดี ขอให้มั่งมีปีใหม่
  • 恭喜發財 / 恭喜发财 (จีนกลาง: กงฉี่ฟาฉาย ฮกเกี้ยน: หย่งฮี้ฮวดจ๋าย )
  • 大吉大利 (ฮกเกี้ยน:ตั่วเก็ตตั่วลี่ ) แปลว่า ความมงคลอันยิ่งใหญ่ หรือ ค่าขายได้กำไร
  • 招财进宝 (ฮกเกี้ยน:จ่ายหงวนก้องกิม ) แปลว่า เงินทองไหลมา
  • 金玉满堂 (ฮกเกี้ยน:กิ้มหยกมมั่วต๋อง ) แปลว่า ทองหยกเต็มบ้าน
  • 万事如意 (ฮกเกี้ยน:บ่านสู่หยู่อี่ ) แปลว่า ทุกเรื่องสมปรารถนา
  • 福壽萬萬年 / 福寿万万年 (ฮกเกี้ยน:ฮกซิ่วบันบั่นนี่ จีนกลาง: ฝูเชี่ยวหวันวันเลี่ยน แปลว่า อายุยืนพันๆปี )
  • เกียโฮ่ซินนี้ ซินนี้ตั้วถั่น แปลว่า สวัสดีปีใหม่ ขอให้ร่ำรวยๆ อีกฝ่ายก็จะกล่าวตอบว่า ตั่งตังยู่อี่ แปลว่า ขอให้สุขสมหวังเช่นกัน
  • ตั๋วถั่นฉี่ ในภาษาฮกเกี้ยน แปลว่า ร่ำรวยไม่เสื่อมคลาย
  • โฮ่อุ๊นคิ ในภาษาฮกเกี้ยน แปลว่า ทุกความสมหวังเป็นจริง
  • เป๋งอิ่วเตียวคิ ในภาษาฮกเกี้ยน แปลว่า เพื่อนมิตรมีสุข
  • หลายโฮ่ไซ่ ในภาษาฮกเกี้ยน แปลว่า ความดีเข้ามา