Thursday, May 17, 2012

เปิดประวัติ ไทฟ้า ชยวรประภา เจ้าของรถปอร์เช่ชนฟอร์จูนเนอร์

เปิดประวัติ นายไทฟ้า ชยวรประภา เจ้าของรถปอร์เช่ชนฟอร์จูนเนอร์
ไทฟ้า ชยวรประภา






           จากกรณีเมื่อคืนวัน ที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ยี่ห้อหรู ปอร์เช่ชนกับรถฟอร์จูนเนอร์ บนโทลล์เวย์ดอนเมือง เป็นเหตุให้คนขับรถทั้งคู่เสียชีวิตคาที่ ซึ่งข่าวดังกล่าวกลายเป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ และได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้เสียชีวิตทั้งคู่เป็นคนที่มีชื่้อเสียง โดยคนที่ขับรถฟอร์จูนเนอร์ คือ พ.ต.ศักดิภัทร ปทุมารักษ์ ลูกชาย นายชาญชัย ปทุมารักษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนอีกรายหนึ่งเป็นนักธุรกิจชื่อดังย่านข้าวสาร นั่นก็คือ ไทฟ้า ชยวรประภา คนขับรถปอร์เช่  ซึ่งหลายคนอาจไม่ค่อยรู้จักว่า ไทฟ้า ชยวรประภา เป็นใคร มาจากไหน วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบค่ะ
           ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน นักเขียนผู้ใช้นามปากกาว่า หนุ่มเมืองจันท์ ณ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจมติชนสุดสัปดาห์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ไท ฟ้า ชยวรประภา และนำมาเขียนในหนังสือ ฝันใกล้ไกล ไปช้าช้า จึงทำให้เราได้ทราบหลายเรื่องราวในชีวิตของเขา ชีวิตที่หลายคนคิดว่าจะหวือหวาเหมือนการขับรถของเขาหรือเปล่านั้น แท้จริงไม่เป็นเช่นนั้นเลย

           ไทฟ้า ชยวรประภา เกิดเมื่อวันที่่ 17 มกราคม พ.ศ. 2501 ปัจจุบัน อายุ 54 ปี จบการศึกษาแค่ชั้น ม.ศ.5 ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ และด้วยฐานะยากจนเขาจึงไม่มีโอกาสได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเหมือนคนอื่น ๆ โดยในบทสัมภาษณ์ ไทฟ้า ชยวรประภา ได้บอกว่า  เขา จะต้องไปศึกษาต่อที่ Royal field university หรือ มหาวิทยาลัยสนามหลวง  ซึ่งแท้จริงแล้วเขาต้องไปนั่งขายของริมถนน ขายตั้งแต่กระดาษหอม  ถุงโชคดี แหวน และกระเป๋านักเรียน หรือจะเรียกว่า เขาเป็นนักสู้ข้างถนนก็ว่าได้ จนกระทั่ง ไทฟ้า ชยวรประภา หันมาทำธุรกิจที่ถนนข้าวสาร

            ด้วยความที่ ไทฟ้า ชยวรประภา เป็นคนดิ้นรนต่อสู้ชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก จึงทำให้การทำธุรกิจ และมีวิธีคิดในเรื่องของการใช้ชีวิตของเขามีแง่มุมที่แตกต่างจากประสบการณ์ ชีวิตที่ราบรื่นของคนอื่น ๆ และเชื่อได้เลยว่าหลายคนที่ได้อ่านวิธีคิดของเขาสามารถนำไปเป็นต้นแบบหรือ แรงบันดาลใจในการลุกขึ้นมาสู้ชีวิตได้เป็นอย่างดี สำหรับชีวิตของ ไทฟ้า ชยวรประภา นั้น เขาบอกว่าไม่มีใครเป็นต้นแบบในการดำรงชีวิต แต่เขาจะใช้ "ความอยู่รอด" เป็นแนวทางดำรงชีวิต

           พร้อมกันนี้ ไทฟ้า ชยวรประภา ยังกล่าวว่า เขาเป็นเพียงแค่เมล็ดมีเปลืองบาง ๆ ไม่ได้เป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีรากแก้ว เพราะชีวิตเขาไม่ได้เกิดมาในตระกูลดัง หรือมีกิจการที่สืบทอดต่อกันมา แต่เขาเริ่มต้นด้วยตัวเขาเอง  อย่างไรก็ตาม ไทฟ้า ชยวรประภา ยังได้กล่าวคำพูดหนึ่งที่โดนใจมาก โดยเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้จากประสบการณ์ล้วน ๆ  คือ "มี คนบอกว่าเริ่มต้นยาก สำเร็จยาก แต่รักษาความสำเร็จยากกว่า ผมว่าไม่จริง  การรักษาความสำเร็จไม่ยาก เพียงแค่ว่าเราอย่าคิดว่าต้องเป็น..ที่สุด แค่นั้นก็รักษาได้แล้ว"
           นอกจากนี้ ไทฟ้า ชยวรประภา ยังมีทฤษฎี 3 เหลี่ยม ของการใช้ชีวิต ที่เขาบอกว่า "คน เราเมื่อรู้สึกว่ายืนอยู่บนยอดสุดของสามเหลี่ยมเมื่อไร จะ..รู้สึกตัน นั่นก็เพราะพื้นที่บนยอดสามเหลี่ยมน้อยเกินกว่าจะยืนหยัดอยู่ได้ จุดที่ดีที่สุดของการยืน คือ ตรงประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ ของสามเหลี่ยม ซึ่งสูงพอประมาณ และมีพื้นที่กว้างพอที่จะยืนแบบไม่โดดเดี่ยว และ ทุกครั้งที่ต้องการยืนให้สูงขึ้นในระดับสูงสุดของสามเหลี่ยม เราต้องสร้างสามเหลี่ยมใหม่ที่ฐานกว้างขึ้น เพราะฐานเมื่อกว้างขึ้น ปลายสุดของยอดสามเหลี่ยมใหม่ก็จะสูงกว่าเดิม จุดสูงสุดของสามเหลี่ยมเก่าที่เราต้องการก็ตรงกับ 75 เปอร์เซ็นต์ ของสามเหลี่ยมใหม่ เราก็จะได้ยืนสูงขึ้น โดยที่ยังมีพื้นที่ให้กับคนอื่น"

           ส่วนในมุมมองด้านธุรกิจ เมื่อถามว่า หลักการบริหารธุรกิจเล็ก ๆ กับธุรกิจใหญ่ ๆ แตกต่างกันอย่างไร ไทฟ้า กล่าวว่า หลักการบริหารเงิน 1 บาท 100 บาท หรือ 1 ล้านบาท เหมือนกัน คือ การใช้เงิน จนทำให้เขากลายเป็นนักธุรกิจโรงแรมแบรนด์ไทยรายใหญ่ ซึ่งฐานธุรกิจของเขาเริ่มต้นที่ถนนข้าวสาร นั่นก็คือ บริษัท บัดดี้ กรุ๊ป จำกัด จากชื่อเดิม คือ บริษัท ไทฟ้า และเพื่อน จำกัด ก่อตั้งเมื่อปี 2539 จนมาถึงปัจจุบัน ไทฟ้า และเพื่อน คือ นายประสิทธิ์ สิงห์ดำรงค์ นายมาโนช วงษ์มาก ขยายเครือข่ายธุรกิจมีกิจการในรูปบริษัท 25 บริษัท ครบวงจรธุรกิจโรงแรมบูติค ท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจสิ่งพิมพ์

           ธุรกิจในรูปบริษัท 25 บริษัทของ ไทฟ้าและเพื่อน มีดังนี้

             1. บริษัท บัดดี้ กรุ๊ป จำกัด  
             2. บริษัท ไซด์วอล์ค คาเฟ่ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ จำกัด  
             3. บริษัท บัดดี้ ลอดจ์ จำกัด  
             4. บริษัท ฟ้าละไม จำกัด   
             5. บริษัท ฟ้าอรุณ จำกัด  
             6. บริษัท ภูมิฟ้า จำกัด     
             7. บริษัท มิส มอลลี่ จำกัด   
             8. บริษัท วังวารี สิริเจ้าพระยา จำกัด   
             9. บริษัท ข้าวสารเนอร์ จำกัด   
             10. บริษัท คุ้มสามพระยา จำกัด       
             11. บริษัท ชยวรประภา จำกัด    
             12. บริษัท ซามูดี จำกัด   
             13. บริษัท ไซด์วอร์ค ราชดำเนิน จำกัด     
             14. บริษัท ต้มยำกุ้ง จำกัด    
             15. บริษัท บัดดี้ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด    
             16. บริษัท บัดดี้ บูติก อินน์ จำกัด   
             17. บริษัท บัดดี้ บูติค โฮเต็ล กรุงเทพ จำกัด    
             18. บริษัท บัดดี้ มารีน จำกัด   
             19. บริษัท บางกอก รอยัล อาร์ต จำกัด    
             20. บริษัท บ้านหินทราย เฉวงน้อย บูติค รีสอร์ท จำกัด    
             21. บริษัท บำรุงเมือง จำกัด  
             22. บริษัท พังการีสอร์ต จำกัด    
             23. บริษัท หินตา หินยาย บีช รีสอร์ท จำกัด   
             24. บริษัท บัดดี้ โฮลดิ้ง จำกัด     
             25. บริษัท มิลเลี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด

           โดยเมื่อต้นปี 2555 ที่ผ่านมา ผู้บริหาร บัดดี้กรุ๊ป เปิดเผยสถานะทางธุรกิจของกลุ่มว่า ปัจจุบัน บัดดี้ กรุ๊ป เป็นโรงแรมระดับ 3-4 ดาว ลงทุนโดยคนไทย และเป็นโรงแรมแบรนด์ของคนไทย จุดต่างที่สำคัญของโรงแรม คือ ขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป แต่ละแห่งไม่เกิน 70-80 ห้อง สามารถดูแลลูกค้าได้ทั่วถึง ประกอบกับการใช้กลยุทธ์แบบคนไทย เช่น นำเสนอห้องพักในราคารวมอาหารเช้า หรือ ที่ บัดดี้ ลอดจ์ จะฟรีมินิบาร์ นอกจากนั้น ทุกโรงแรมของ บัดดี้ กรุ๊ป ยังมีบริการฟรีไวไฟ (wifi) ตอบสนองไลฟ์สไตล์การเดินทาง เพราะลูกค้าที่เข้าพักโรงแรมรูปแบบนี้ส่วนใหญ่ เป็นคนรุ่นใหม่ กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ใช้ช่องทางการจองผ่านอินเทอร์เน็ต

           ปัจจุบัน บัดดี้ กรุ๊ป เป็นเจ้าของโรงแรม 6 แห่ง ครอบคลุมตั้งแต่ 3-5 ดาว ได้แก่ โรงแรมบัดดี้ ลอดจ์ (กรุงทพฯ) โรงแรมโฮเต็ล เดม๊อค (กรุงเทพฯ) โรงแรมบัดดี้ บูติค อินน์ (กรุงเทพฯ) โรงแรมบัดดี้ โอเรียลทอล ริเวอร์ไซด์ ปากเกร็ด (นนทบุรี) โรงแรม บัดดี้ โอเรียลทอล สมุย บีช รีสอร์ท และมาร์โคโปโล โฮสเทล (กรุงเทพฯ) ในระยะสั้นยังไม่มีแผนลงทุนเพิ่ม แต่ก็เตรียมมองหาโลเคชั่นเพื่อขยายการลงทุน มองที่พัทยาและภูเก็ตเป็นหลัก เพราะ 2 พื้นที่ดังกล่าว เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของต่างชาติ ที่เดินทางมาประเทศไทย โดยเน้นที่ตั้งที่เป็นโลเกชั่น สะดวก มีระบบสาธารณูปโภค พร้อมสรรพ
 
           แม้วันนี้ ไทฟ้า ชยวรประภา จะเหลือเพียงชื่อ แต่ธุรกิจในเครือบัดดี้ของเขาก็ยังอยู่ต่อไป ด้วยการวางรากฐานที่ยอดเยี่ยมจากวิธีคิดจากการใช้ชีวิตที่มีแง่มุมอันแตก ต่างของเขา สุดท้ายนี้ กระปุกดอทคอมขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของ "ไทฟ้า ชยวรประภา" ขอให้ดวงวิญญาณของเขาไปสู่สุคติด้วยค่ะ
 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก




Monday, May 14, 2012

ชาวสงขลาร้องเรียน-โชว์เปลือยโจ๋งครึ่มในผับกลางเมือง

ภาพจาก ข่าวสด
ภาพจาก ข่าวสด

 วัน ที่ 11 พ.ค. ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า จากกรณีประชาชนในพื้นที่ อ.เมือง จ.สงขลา ร้องเรียนว่ามีสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.เมือง จ.สงขลา จัดให้มีการแสดงเต้นโชว์เปลือย 

โดย มีนางแบบและโคโยตี้เปลือยโชว์ให้ลูกค้าที่มาใช้บริการกับทางสถานบันเทิงและ เปิดให้บริการจนเกือบเช้าทุกวัน โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทั้งยังตั้งอยู่ใกล้โรงเรียนและวัดดังของเมืองสงขลา

 หลัง ได้รับการร้องเรียนผู้สื่อข่าว เข้าไปตรวจสอบยังสถานบันเทิงดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสระเกษ ตรงข้ามโรงเรียนวรนารีเฉลิม ติดกับรั้ววัดสระเกษ โดยสถานบันเทิงเป็นอาคารชั้นเดียว 2 คูหา ภายในตัวร้าน มีเวทีติดตั้งเสาไว้กลางเวที เพื่อให้นางแบบและโคโยตี้ของทางสถานบันเทิงขึ้นไปเต้นเปลือยยั่วยวนลูกค้า มีทั้งการเต้นเปลือยทั้งบนเวทีและเดินเปลือยมานั่งตามโต๊ะให้ลูกค้าที่เป็นนักเที่ยวผู้ชายจับของสงวนเพื่อแลกกับค่าดริ้งก์

 จากการสอบถามพนังงานภายในร้าน ทราบว่า ร้านเปิดให้บริการตั้งแต่ 21.00 น. แต่ลูกค้าเริ่มทยอยเข้าร้านกันมากในเวลาประมาณ 01.00 น.ซึ่งเป็นเวลาที่สถานบันเทิงอื่นๆ ปิดให้บริการหมดแล้ว จะเปิดบริการไปเรื่อยจนถึงประมาณ 04.00–05.00 น. ทุกวัน โดยจะมีโคโยตี้และนางแบบเดินสายหมุนเวียนจากกรุงเทพมาโชว์และเปลี่ยนชุดใหม่ทุกๆ 15 วัน

 ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานบันเทิงที่เปิดให้มีการแสดงโชว์เปลือยของหญิงสาวนางแบบและโคโยตี้ ใน จ.สงขลา ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก 

ทั้งในพื้นที่ ต.ทุ่งลุง อ.หาดใหญ่ อ.นาหม่อม และบริเวณย่านด่านชายแดน ต.สำนักขาม อ.สะเดา
ภาพจาก ข่าวสด
ภาพจาก ข่าวสด
ภาพจาก ข่าวสด
ภาพจาก ข่าวสด
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

Friday, May 4, 2012

วิธีประหยัดเงิน เพื่อความรวย



                           

 + ไม่ใช่เครื่องสำอางทุกยี่ห้อที่โฆษณาว่าใช้แล้วหน้าเด้งจะทำให้หน้าคุณแจ่มได้ ก่อนจะควักกระเป๋าซื้อของจริงเต็มขวดมาใช้ จึงน่าจะขอสินค้าทดลองมาลองดูก่อน ดูซิว่ามันจะโมดิฟายด์หน้า "เหี่ยว" ของคุณให้กลายเป็น "แพนเค้ก" ได้จริงหรือเปล่า"

+ ถ้าไม่เทรนดี้มากนักคุณจะประหยัดไปได้เยอะเลย เพราะหลังจากที่กระแสของแฟชั่นแบบนั้นซาแล้ว ร้านเสื้อส่วนใหญ่จะเอาเสื้อที่กำลังจะเอ้าท์มาขายลดราคา ตอนนี้ล่ะคือโอกาสที่คุณจะสอยชุดเปรี้ยวที่ทนน้ำลายหกมานานเสียที

+ เวลาเจอของถูกใจอย่าเพิ่งกระโจนเข้าใส่ ให้ลองเดินดูหลายๆ ร้านหาแบบที่คล้ายๆ กัน เพราะส่วนใหญ่แฟชันมันก็หนีกันไม่ค่อยจะพ้นหรอก แต่เรื่องราคามักจะต่างกันหลายบาทอยู่นะ

+ พอกลับถึงบ้านให้เทกระเป๋าสตางค์ออกมาหยอดกระปุกให้หมด ถ้าทำทุกวันตอนสิ้นปีคุณจะมีเงินเก็บอื้อเลย ทั้งๆ ที่ตอนหยอดอาจจะดูเหมือนเป็นเล็กน้อยแท้ๆ

+ เลิกพกบัตรเครดิตการ์ด เพราะมันคือไอ้ตัวดูดเงินดีๆ นี่เอง เพราะะเวลาใช้บัตรรูดซื้อของ เราไม่ได้เห็นเงินสดๆ ลอยหายไปต่อหน้าต่อตา เพราะก็จะไม่ค่อยรู้สึกว่าได้ใช้จ่ายไปมากมายเท่าไร ก็เลยจะยิ่งใช้กันกระจุย กว่าจะมานึกได้อีกทีก็ตอนมีบิลมานั่งยิ้มอยู่หน้าบ้านนั่นแหละ ถึงตอนนั้นสิ่งที่สาวสวยอย่างเราสูญเสียไปก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้ซะแล้ว...

กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นด้วยเงินทุนน้อยๆ

            มีเงินน้อย เป็น vi ไม่ได้ จริงหรือไม่ : http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=25999
แม้ผมจะเห็นด้วยกับหลายๆท่าน ว่าเงินลงทุนมากน้อย ก็สามารถลงทุนตามแนวทาง vi ได้ แต่อีกด้านนึงผมคิดว่าแม้จะลงทุนแบบ vi เหมือนกันแต่ระดับเงินลงทุนก็มีผลต่อเทคนิคหรือกลยุทธ์ที่ควรจะใช้
ครั้งหนึ่ง Warren Buffett เคยพูดว่า หากวันนี้มีเงินลงทุนแค่ 1 ล้านเหรียญ เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้มากกว่า 50% ต่อปี ซึ่งผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะช่วงแรกๆที่วอร์เรนลงทุนผ่านห้างหุ้นส่วน เค้าสามารถทำผลตอบแทนได้ประมาณ 30% ต่อปี ในทำนองเดียวกัน หาก ดร.นิเวศน์ มีเงินลงทุนวันนี้แค่ 1 ล้านบาท ผมคิดว่าแนวทางการเลือกหุ้นของท่าน อาจจะแตกต่างออกไป
เงินลงทุนน้อยๆ ตามนิยามง่ายๆของผม อาจจะเป็นเงินหมื่น เงินแสน และไม่เกิน 1 ล้านบาท ลำพังหากลงทุนโดยแนวทางอนุรักษ์นิยม อาจได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-15% ต่อปี ซึ่งอาจจะเพียงพอและน่าพอใจหากเป็นพอร์ตการลงทุนขนาดกลางหรือใหญ่ แต่ผลตอบแทนระดับนี้ไม่อาจสร้างความแตกต่างในพอร์ตขนาดเล็ก
ดังนั้นหากเป็นพอร์ตการลงทุนระดับเล็กๆ ผมคิดว่าควรมีกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ ผมมองผ่านภาพใหญ่ 2 ประเด็นคือ
1. ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด
2. ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
ประเด็นแรก ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด สามารถแยกเป็นภาพย่อยๆได้อีกคือ
1.1 ควรเพิ่มรายได้ เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุด
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน
1.1 เพิ่มรายได้ ผมมองในแง่คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนไม่สูงมาก การเพิ่มรายได้สามารถทำได้โดยการหารายได้เสริม การย้ายงานใหม่ การเพิ่มความรู้เพื่อเพิ่มค่าจ้าง การแต่งงานที่คู่ชีวิตมีรายได้ด้วย (ถ้าโชคดีได้แฟนรวยจะดีมาก) การหยิบยืมเงินจากพ่อแม่หรือญาติในระดับที่หากเสียหายก็ไม่ทำให้เดือนร้อน มาก ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุน เพราะจะมีแรงกดดันจากที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา
1.2 การลดรายจ่าย รายจ่ายที่หนักที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่คือการผ่อนรถ-ผ่อนบ้าน คุณสุวภา ผู้เขียนหนังสือ show me the money เคยพูดไว้ว่าตัวอย่างการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาวที่กำลังสร้างอนาคต คือการซื้อรถ แต่ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันพอสมควร หลายท่านอาจจะบอกว่าทั้งบ้านและรถเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หรือต้องใช้ประกอบการทำงาน ซึ่งผมก็เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ถ้ามองรอบด้าน เราอาจจะพบว่ามีทางเลือกอื่นๆอีก ที่ทำให้สามารถประหยัดรายจ่ายส่วนนี้ได้ เช่น
- แทนที่จะผ่อนบ้าน เราอาจจะอดทนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนที่สนิท หรือแม้แต่การเช่าบ้านที่ค่าเช่าไม่สูงมาก เหล่านี้แม้จะไม่สะดวกสบายเท่า แต่สามารถประหยัดทั้งดอกเบี้ยผ่อนและยังสามารถนำเงินต้นไปหาดอกผลจากการลง ทุน
- แทนที่จะผ่อนรถ เสียทั้งเงินต้นและดอกและยังมีค่าใช้จ่ายน้ำมัน ทางด่วน ซ่อมแซม ค่าประกัน เหล่านี้เป็นเงินจำนวนมากที่เราคาดไม่ถึง เราอาจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือกระทั่งซื้อรถมือสองที่ราคาถูกกว่ามาก หรือหากยังมีค่าใช้จ่ายสูง ก็อาจจะต้องเปลี่ยนงาน หรือย้ายบ้าน ย้ายที่พักซะเลย ให้ที่ทำงานกับที่พักอยู่ใกล้ๆกันเพื่อประหยัดค่าเดินทาง
รายจ่ายอื่นๆที่พอจะประหยัดได้เช่น ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ ที่เราต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าคิดเป็นรายจ่ายทั้งปีเราอาจจะตกใจ ทางเลือกคือ เราอาจะโทรน้อยลง หรือไม่โทรเลย (ไม่โทรไม่ตายซักหน่อย) เปลี่ยนเครื่องนานๆครั้ง ใช้เครื่องถูกๆ
ข้างต้นที่เขียนมาคงทำได้ไม่ง่ายครับ เพราะรายจ่ายเหล่านี้ คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอาสบายไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอื่นๆ(อยากรวย) เราควรจะทำให้ได้ อาจจะในรูปแบบหรือวิธีที่ต่างกันออกไปตามฐานะ ความจำเป็นของแต่ละคน
ประเด็นแรกการหากเงินมาลงทุนให้มากที่สุด ผมคงไม่เน้นมากครับ แต่จะไปเน้นในประเด็นที่สองคือทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด
ประเด็นที่สอง ทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด
ประเด็นนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนต่างต้องการ และยิ่งหากมีเงินลงทุนไม่มาก การทำผลตอบแทนให้สูงๆยิ่งมีความสำคัญ การมีเงินลงทุนน้อยๆและทำผลตอบแทนในระดับปกติ เช่น 10-15% ต่อปี กว่าที่เงินลงทุนจะเติบโตสมมุติ 1 เท่าตัว อาจใช้เวลา 5 – 6 ปี ซึ่งอาจจะน่าพอใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับเงินฝาก แต่อาจจะน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการศึกษาการลงทุน นอกจากนั้นแม้เงินทุนจะเพิ่มขึ้นมาระดับนี้ แต่ด้วยเงินเริ่มต้นที่น้อย กำไรที่ทำได้ก็น้อยไปด้วย และสุดท้ายจะพาลทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจ เพราะดูเหมือนการลงทุนอย่างนี้ทำให้รวยช้า อาจหันเหไปเก็งกำไร หรือไปเสี่ยงโชคกับการธุรกิจอื่นๆ ที่เห็นว่าจะทำให้รวยเร็วกว่า
การเพิ่มเทคนิค กลยุทธ์เพียงเล็กๆน้อยๆ สำหรับพอร์ตการลงทุนเล็กๆ อาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ที่จริงกลยุทธิ์เหล่านี้เพื่อนๆหลายท่านก็ทราบกันดีจากที่โพสต์มา แต่หากนำมาเรียบเรียงรวมกันเป็นหมวดหมู่ จะเป็นประโชน์กับเพื่อนๆได้พิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ครับ
กลยุทธ์ที่ผมพอจะคิดออกมีดังนี้ครับ
1. การทำการบ้าน(หุ้น) ไม่แน่ใจว่าเป็นกลยุทธ์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นการแปรเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นพลัง – เป็นแรงบันดาลใจ ที่ชัดเจนที่สุด ยิ่งหากเราพอร์ตเล็กเท่าไหร่ เราก็ควรจะทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลหุ้นให้มากขึ้นเท่านั้น มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้โดยตรง ทำให้ทุกเวลา ทุกนาที โดยไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น หากเราไม่มีความรู้ที่จะหาหุ้น ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ด้านการเงิน วิธีทีดีที่สุด ก็คือต้องไปเรียน หาหนังสือมาอ่าน หากไม่มีเวลา ไม่ค่อยมีเงิน ผมแนะนำให้ลงเรียนที่ ม.รามคำแหง บัญชีเบื้องต้น หรือการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน ซื้อหนังสือซื้อชีทมาอ่าน ก็เข้าใจได้ครับ
2. ไปหาปลาตรงที่มีปลา เนื่องจากเราตั้งโจทย์ว่าเราต้องการผลตอบแทนสูงๆ ดังนั้นเราก็ต้องหาประเภทของหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงๆ เสมือนไปหาปลาตรงที่ๆมีปลา ข้อสังเกตุของผมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มักเป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หุ้นเหล่านี้แม้มีความเสี่ยงทางธุรกิจบ้าง แต่การเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรจะทำได้เร็วกว่าหุ้นมั่นคงขนาดใหญ่มาก ธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ไม่คอ่ยมีนักวิเคราะห์คอยติดตาม ทำให้โอกาสที่จะเจอหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมีสูง
หลักทรัพย์บางประเภทเช่นวอร์แรนต์ที่นักลงทุนมักหลีกเลี่ยงเพราะมีความ เสี่ยงสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงวอร์แรนต์เหล่านี้ในอนาคตก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง ดังนั้นเราควรใช้บรรทัดฐานในการประเมินมูลค่าวอร์แรนต์ในทำนองเดียวกับที่ เราประเมินมูลค่าหุ้น หากมูลค่าวอร์แรนต์ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในวอร์แรนต์ และที่จริงการลงทุนในวอร์แรนต์โดยปกติจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ เพราะคุณสมบัติจากอัตราทวีผลหรือ Gearing นั่นเอง นักลงทุนที่แสวงหากำไรสูงๆ ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในวอร์แรนต์ครับ
3. มองหาตัวเร่งเร้า(ที่รุนแรง) หมายถึงมองหาปัจจัยที่จะเร่งให้กำไรของกิจการเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งจะหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นมากด้วย ตัวเร่งในที่นี้อาจจะเป็นอะไรก็ตาม ที่จะทำให้กำไรของกิจการเพิ่มขึ้นทั้งโดยตัวพื้นฐาน เช่น การขยาย ปรับปรุงกำลังการผลิต การขยายตลาด รวมถึงการเจริญเติบโตปกติของกิจการ การกลับตัวของดีมาน-ซัพพลายของอุตสาหกรรม การซื้อกิจการ การเพิ่มปันผล กำไรพิเศษ นอกจากนั้นยังอาจเป็นตัวเร่งทางปัจจัยจิตวิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร การแตกหุ้น การแจกวอร์แรนต์
หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น 2 ตัว ที่มีปัจจัยทางด้านอื่นๆเหมือนๆกันหรือคุณภาพพอๆกัน หุ้นตัวที่มีตัวเร่ง มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
4. เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด เพราะการที่พอร์ตการลงทุนจะโตมากๆ ต้องอาศัยการทบต้นหรือการนำกำไรไปลงทุนต่อ ดังนั้นในปีหลังๆพอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะเงินต้นมากกว่า แม้จะทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม การลงทุนให้เร็วที่สุด จะทำให้เราไปถึงจุดที่เงินลงทุนออกดอกออกผลได้เร็ว นอกจากนั้น การที่เราเริ่มลงทุนเร็ว เท่ากับว่าเราได้เริ่มเรียนรู้เร็วไปด้วย ซึ่งความรู้จะพอกพูนไปตามวันเวลา และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น
เคยมีผลการวิจัยศึกษา พบว่านักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าๆกัน ทำผลตอบแทนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงที่เริ่มลงทุนห่างกันหลายปี เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนของทั้งสองคนจะห่างออกจากกันมากขึ้น เสมือนเส้น 2 เส้นที่ลากออกจากจุดเดียวกัน เส้นทั้ง 2 ทำมุมกันเพียงเล็กน้อย ถ้าลากเส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เส้นทั้งสองจะออกห่างกันมากขึ้นทุกที
5. ผู้บริหารในฝัน เพราะผู้บริหารที่ดีจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติ ผู้บริหารที่นักลงทุนควรมองหาคือ มีความรู้ซึ้งในธุรกิจที่ทำ มีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล มี passion ในงานที่ทำ มีความกระหายที่จะทำให้บริษัทเติบโตและที่สำคัญต้องมองผลประโยชน์ในมุมมอง เดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย
ถ้าเจอผู้บริหารที่มีคุณสมบัติข้างต้น ช่วยสะกิดบอกผมด้วย เพราะนี่เป็นสัญญานที่ดีที่จะเจอหุ้นดีๆ การศึกษาปัจจัยพื้นฐานด้านอื่นๆประกอบเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะตัดสินใจลง ทุนต่อไป
(เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่างนี้ สังเกตุจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง)
6. ถือหุ้นน้อยตัว หากเรามีเงินทุนน้อย การกระจายการถือหุ้นหลายๆตัว อาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น แต่ผลตอบแทนที่ได้จะหักล้างกันทำให้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าที่ควร การเลือกที่จะถือหุ้นน้อยตัวเช่น 2-5 ตัว จะทำให้เรามีความรอบคอบ พิถีพิถันที่จะเลือกถือหุ้นในกลุ่มที่ดีที่สุด ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้) และหากเราวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ผลตอบแทนที่ได้รับจะคุ้มค่า
ตัวเลข 2-5 ตัวอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามระดับความมั่นใจในพื้นฐานของหุ้นที่เราจะลงทุน
7. คาดหวังผลลัพธ์ 100% เลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้กำไรสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง แม้หุ้นเหล่านี้อาจจะมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะศึกษาให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงนี้ แน่นอนว่าในการลงทุนทุกอย่าง เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ หากเราลงทุนในหุ้นที่แพ้ เราจะแพ้ หากเราเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสทั้งชนะและแพ้ เราจะมีโอกาสทั้งชนะและแพ้ ขึ้นอยู่กับว่าเราศึกษามากน้อยแค่ไหน และบางทีก็เป็น โชคชะตา..
8. Growth always better ถ้าหากหลายท่านจำกันได้ กระทู้ของคุณริวกะเมื่อไม่นานมานี้ TVI Index ที่จริงอาจจะมีเพื่อนๆเอะใจว่า คำตอบการลงทุนที่เราค้นหามานาน อาจจะซ่อนอยู่ในกระทู้ที่ว่านี้ก็ได้ คำตอบที่ผมหมายถึงคือหากเราดูผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นหลายๆตัวที่ทำกำไรสูงๆ ในกระทู้นั้น สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ทุกบริษัทเป็นหุ้นเติบโตสูงหรือ growth stock ทั้งสิ้น คำอธิบายแบบเรียบง่ายคือราคาหุ้นขึ้นอยู่กับกำไรที่กิจการทำได้ ถ้ากำไรเพิ่ม ราคาหุ้นก็เพิ่ม คนที่ถือไว้ก็ได้กำไร นักลงทุนทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะมีหุ้นเติบโตสูงอยู่ในพอร์ตเสมอๆ
…เวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ หากเราลงทุนในหุ้น Growth…
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนเบี้ยน้อยหอยน้อย คงมีแค่นี้ครับเท่าที่คิดออก ถ้าเพื่อนๆมีความเห็นอื่นจะเสริมก็จะเป็นประโยชน์ครับ และที่ต้องขอย้ำคือกลยุทธ์ส่วนใหญ่ คงเหมาะสมกับนักลงทุนที่มีความรู้การลงทุนในระดับนึงแล้ว และจะไม่เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ ถ้าถามว่ากลยุทธ์ข้อไหนที่สำคัญและจำเป็นที่สุดคงเป็นข้อแรก ถ้าไม่มีข้อแรก ประเด็นอื่นๆก็จะไม่ตามมา
ผมและเพื่อนท่านอื่นๆอาจจะเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น แต่นักลงทุนต้องเดินทางด้วยตัวเองครับ ระหว่างทางอาจจะมีความยากลำบาก มีอุปสรรค มีเพียงทัศนคติที่ถูกต้อง ความตั้งใจ และกำลังใจ จะทำให้เราไปถึงจุดหมายครับ มีบทกวีบทหนึ่ง นำมาฝากเป็นกำลังใจด้วยครับ
เมื่อเริ่มสู้นั้น มันมืดยิ่งกว่ามืด…
ครั้นยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย…
พอมองเห็นลางลาง อยู่ทางปลาย…
ชัยชนะ ขั้นสุดท้าย ไม่เกินรอ…
กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
อนุรักษ์ บุญแสวง (พี่ลูกอิสาน แห่งเวบ Thaivi.com)
ที่มา: http://www.sarut-homesite.net/2009/10/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4/

"นับเงิน"ช่วยบรรเทาอาการเครียด


วารสารจิตวิทยา "ไซโคโลจิคัล ไซเอินซ์" ฉบับล่าสุดชี้ว่า นักวิจัยมหาวิทยาลัยซุนยัตเซน มินนิโซตา และฟลอริดา พบว่า การนับเงินช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่เมื่อนึกถึงการใช้เงินความเครียดจะเพิ่มขึ้น
การศึกษาชิ้นนี้เน้นที่อำนาจเชิงสัญลักษณ์ของเงิน โดยเริ่มการทดลองชิ้นแรกกับนักศึกษาจีน 84 คน แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม

กลุ่มแรกสั่งให้นับธนบัตร 80 ใบ ส่วนอีกกลุ่มให้นับกระดาษเปล่า 80 แผ่น หลัง จากนั้นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดต้องเล่นวิดีโอเกมออนไลน์ ซึ่งเป็นเกมรับส่งลูกบอลที่จะต้องเล่นร่วมกับผู้อื่นในอินเตอร์เน็ต แต่มีการตั้งโปรแกรมไว้ให้กลุ่มตัวอย่างครึ่งหนึ่งรับลูกบอลที่โยนมาไม่ได้ หลังผ่านไปสิบลูก ขณะที่อีกกลุ่มยังรับได้อยู่

เมื่อจบเกมกลุ่มตัวอย่างที่ตกรอบต้องให้คะแนนความเครียดทางสังคมและความรู้สึกของตัวเอง

ซึ่งผลปรากฏว่ากลุ่มที่ได้นับเงินก่อนมีระดับความเครียดทางสังคมต่ำกว่ากลุ่มที่นับกระดาษเปล่า อีกทั้งยังรู้สึกว่าเข้มแข็งและมีความพร้อมในตัวเองมากกว่า ด้วย นักวิจัยทดลองส่วนที่สองเพื่อดูว่าการนับเงินช่วยลดความเจ็บปวดทางร่างกาย ด้วยหรือไม่ โดยเปลี่ยนจากเกมออนไลน์เป็นการแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกต้องจุ่มมือลงในน้ำอุ่น และกลุ่มที่สองจุ่มมือลงในน้ำร้อน พบว่ากลุ่มที่ได้นับเงินก่อนรู้สึกร้อนมือน้อยกว่า และเพื่อให้การศึกษาครบถ้วนสมบูรณ์จึงทดลองเพิ่ม

ซึ่งพบว่าเมื่อใดที่คนเรานึกถึงการใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองที่ผ่านมาจะยิ่งเพิ่มความเครียด

และ ถ้าพวกเขาถูกปฏิเสธจากสังคมและมัวแต่คิดถึงแต่ความไม่สะดวกสบายทางกายภาพก็ จะกระตุ้นให้มีความต้องการเงินมากขึ้นและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่น้อยลง "ผลการศึกษานี้มีนัยในโลกแห่งความเป็นจริง โดยเฉพาะท่ามกลางเศรษฐกิจขาลง การตกงานถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการถูกสังคมปฏิเสธที่จะทำให้คนๆ นั้นอยากได้เงินมากขึ้น ในขณะที่ตัวเองมีเงินน้อยลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือภาวะถดถอยทำให้คนเรายิ่งพยายามไขว่คว้าหาสิ่งที่ ไม่สามารถมีได้" นักวิจัย ม.มินนิโซตา ระบุ


ที่มา http://www.marketatnation.com/

ลงทุนปีละ ‘หนึ่งหมื่นสี่พันบาท’ ก็เป็น ‘เศรษฐีร้อยล้าน’ ได้


“… การเก็บเงินปีละ 14,000 บาท จะได้เป็นเศรษฐีร้อยล้านน่าสนใจมาก แต่ถ้าทำตามวิธีการของคุณ ต้องรอถึง 40 ปี ทำให้ใจห่อเหี่ยว …”
“… ต้องรอถึง 40 ปี ค่อยเป็นมหาเศรษฐี ดีไม่ดีตายกลายเป็นผีไปแล้ว คุณมีเคล็ดลับช่วยให้ร่ำรวยเร็วขึ้นมั้ย? …”
การสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล คนส่วนหนึ่งรู้คำตอบแล้วว่า ถ้าเก็บเงินลงทุนแบบนี้ 40 ปี จะได้เงินร้อยกว่าล้าน จึงทายว่า 10 ปีน่าจะได้สัก 5 ล้าน บางคนทายว่าประมาณ 1 ล้าน แต่ว่าคำตอบที่คำนวณได้น่าแปลกใจเหมือนกันคือได้แค่ 360,000 บาท เมื่อเทียบกับลงทุน 40 ปี ได้ร้อยกว่าล้าน แตกต่างกันถึง 300 กว่าเท่า
ยังดีที่มีคนตั้งคำถามแบบนี้ ไม่อย่างนั้นมีผู้ทำตามวิธีการนี้ เก็บเงินไปลงทุนปีละ 14,000 บาท นำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 20% นึกว่านานเข้าคงร่ำรวยเป็นเศรษฐี คิดไม่ถึงว่าแค่สิบปีมีเงินสะสมแค่สามแสนหก คงเข้าใจว่าถูกหลอกซะแล้ว
ต้องเข้าใจว่านี่เป็นการ “วิ่งมาราธอน” ไม่ใช่ “วิ่งร้อยเมตร” สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว การลงทุนสร้างเนื้อสร้างตัวเงื่อนไขข้อแรกอยู่ที่เวลา คุณต้องผ่านการรอคอยจึงจะเห็นผล
เรามาดูยอดเงินสะสมจากการลงทุนปีละ 14,000 บาท โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 20% ทบต้นไปเรื่อยๆในปีต่างๆ
- ปีที่ 5  ยอดเงินสะสม  =  100,000 บาท
- ปีที่ 10  ยอดเงินสะสม  =  360,000 บาท
- ปีที่ 15  ยอดเงินสะสม  =  1,010,000 บาท
- ปีที่ 20  ยอดเงินสะสม  =  2,610,000 บาท
- ปีที่ 25  ยอดเงินสะสม  =  6,610,000 บาท
- ปีที่ 30  ยอดเงินสะสม  =  16,550,000 บาท
- ปีที่ 35  ยอดเงินสะสม  =  41,280,000 บาท
- ปีที่ 40  ยอดเงินสะสม  =  102,810,000 บาท
นี่เป็นข้อสังเกตที่ว่าทำไมหาเงินเพิ่มอีก 10 ล้านบาท ยังง่ายกว่าหาเงิน 1 ล้านบาทแรกมากนัก
สำหรับคนที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยมือเปล่า คงมีประสบการณ์อย่างนี้มาแล้ว หมื่นแสนเรื่องราวตอนเริ่มต้นนั้นลำบากที่สุด ตอนแรกเริ่มกว่าจะหาเงินได้ช่างลำบากเลือดตาแทบกระเด็น ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองหายากหาเย็นถึงเพียงนี้ แต่หลังจากประสบความสำเร็จ เงินทองก็ไหลมาเทมา เรียกว่าอยากจะหยุดยั้ง ก็ยั้งไว้ไม่อยู่ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเงินทองกลายเป็นหาง่ายเพียงนี้
ทุกคนอยากจะหยิบเงินล้านที่สอง หรือหยิบเงินสิบล้านแบบง่ายๆ ไม่อย่างนั้นก็ภาวนาให้เงินไหลมาเทมา ปัญหาอยู่ที่ก่อนจะหยิบเงินล้านที่สอง ต้องมีเงินล้านแรกก่อน ทำอย่างไรจึงจะได้เงินล้านแรก?
เศรษฐีส่วนใหญ่สร้างเนื้อสร้างตัวจากเงิน ก้อนเล็กๆ ผ่านวันเวลาอันยาวนาน ค่อยๆเก็บสะสม ตอนแรกเป็นเงินก้อนเล็กๆ แทบไม่น่าเชื่อ แต่ความสำเร็จเรียงร้อยจากความสำเร็จเล็กๆทั้งหลาย สะสมพอกพูนเป็นสมบัติกองโต
แสดงให้เห็นว่า “เวลา” มีความสำคัญต่อการลงทุนสร้างฐานะ “ความอดทน” เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมี และไม่ใช่อดทนไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปี ยิ่งอดทนยี่สิบสามสิบปี หรือสี่สิบห้าสิบปี พลังที่จะสร้างความร่ำรวยก็ยิ่งใหญ่โตมโหฬาร
แต่ทุกวันนี้พวกเราตกอยู่ภายใต้กระแสของ “อาหารจานด่วน” ทุกเรื่องเน้นที่ความรวดเร็วและประสิทธิผล เวลาทานอาหารก็รับประทานอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด ส่งจดหมายก็ใช้บริการด่วนพิเศษ ขับรถก็ต้องขึ้นทางด่วน แม้แต่การศึกษาก็ยังใช้วิธีเรียนลัด ผู้คนยิ่งมายิ่งหวังผลทันตาเห็น กลายเป็นรีบร้อนเร่งด่วน ขาดซึ่งความอดทน แม้แต่การลงทุนสร้างฐานะก็ไม่มีข้อยกเว้น
ถ้าเป็นกิจกรรมอย่างอื่น อาจเร่งความเร็วได้ แต่การลงทุนสร้างฐานะเร่งเร็วไม่ได้ เพราะ “เวลา” เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสร้างตัว ยิ่งเร่งเร็วยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งส่วนมากจะ “เลิกล้มกลางคัน” เมื่อเจอกับเงื่อนไขเวลา ก็เกิดความท้อถอย พาลขายหุ้น ขายอสังหาริมทรัพย์ เดินออกจากตลาดหุ้น หารู้ไม่ว่าการขาดความอดทนและความตั้งใจ ยากจะพบกับความสำเร็จได้
การลงทุนสร้างฐานะต้องใช้เวลา ถ้าหากไม่ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะเกิดความร้อนใจ พอร้อนใจก็ทำเรื่องเสี่ยงๆ ฉะนั้น แทนที่จะพบกับความสำเร็จ กลับกลายเป็นล้มเหลว ไม่ว่าการสร้างสมความร่ำรวยก็ดี การสั่งสมประสบการณ์ก็ดี ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลาชั่วข้ามคืน หากแต่ต้องใช้เวลาเข้าแลกมา คนที่อยากรวยทางลัด ได้แต่ใช้วิธีสุ่มเสี่ยงหรือว่าเล่นพนัน หรือทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงๆ แต่ผลของมันคือสิ้นเนื้อประดาตัว จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
คนที่อยากรวยเร็วไม่เหมาะกับการลงทุนสร้างฐานะ เพราะการลงทุนแบบช้าหน่อยแต่ชัวร์แน่นอน พลังที่สร้างฐานะจะใหญ่โตกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องใช้เวลานานกว่าที่พวกเรานึกเอาไว้ด้วยเช่นกัน
ลองนึกดูว่าคุณแม่ต้องผ่านการอุ้มท้องกว่าสิบเดือน ชาวนาปลูกข้าวก็ต้องรอน้ำรอฝน ต้นข้าวจึงจะออกรวงได้
การพอกพูนของเงินทองก็เหมือนกับการเติบโต ของชีวิต ผ่านวันผ่านเดือนผ่านปี ได้รับดอกเบี้ยทบต้น ไม่ใช่ถึงเป้าที่วางไว้ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน นักลงทุนบางคนทำกำไรมหาศาลในชั่วข้ามคืน แต่ก็สิ้นเนื้อประดาตัวเพียงชั่วข้ามคืนได้เช่นกัน
######
อยากให้อ่านบทความนี้ประกอบด้วยครับ
คุณๆคงเคยได้ยินชื่อ อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ด โนเบล มาแล้ว เขาเกิดในปี พ.ศ. 2376 และถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2439 เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน เป็นผู้คิดค้นทำดินระเบิดจนมั่งคั่ง จึงนำเงินที่ได้มาทั้งหมดตั้งเป็นกองทุนให้รางวัล ชื่อว่ารางวัลโนเบล
เดือนตุลาคมของทุกปี คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลจะประกาศรายชื่อบุคคลที่ทำคุณประโยชน์แก่เพื่อน มนุษย์ด้วยกัน ซึ่งมีอยู่หลายสาขาด้วยกันเช่น สาขาฟิสิกส์ เคมี การแพทย์ อักษรศาสตร์ รวมทั้งรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ สำหรับผู้ที่นำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ในรอบปี
ผู้ที่ได้รางวัลโนเบล ถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของชีวิต ทุกคนไม่เพียงแต่ได้รับใบประกาศเกียรติคุณ ยังจะได้รับเงินรางวัล 1,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐอีกด้วย
แต่ละปี คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลจะประกาศให้รางวัลรวม 5 สาขาด้วยกัน หมายความว่าทุกปีต้องจ่ายเงินรางวัล 5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ จึงมีคนอดถามไม่ได้ว่า กองทุนรางวัลโนเบลมีจำนวนเงินมากน้อยแค่ไหน จึงแบกรับภาระจ่ายเงินรางวัลจำนวนมหาศาลได้ทุกปี
อันที่จริงความสำเร็จของกองทุนรางวัล โนเบล นอกจากเงินทุนของ อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ด โนเบลแล้ว ต้องยกประโยชน์ให้แก่คณะกรรมการรางวัลโนเบลที่ลงทุนอย่างถูกทาง
กองทุนรางวัลโนเบลก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2439 ด้วยเงินบริจาคจาก อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ด โนเบล จำนวน 9,800,000 ดอลล่าร์สหรัฐ เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งกองทุน เพื่อจ่ายเงินรางวัลให้แก่ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ฉะนั้นการบริหารเงินกองทุนจะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
เพราะเหตุนี้ตอนแรกจัดตั้งกองทุน ในระเบียบข้อบังคับระบุไว้อย่างชัดเจน ให้ลงทุนในกิจการที่มั่นคง ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน เช่นฝากเงินกับธนาคารและซื้อพันธบัตร ไม่สมควรลงทุนในหุ้นหรือธุรกิจที่ดินซึ่งมีความเสี่ยงสูง
นี่เป็นวิธีการลงทุนที่ปลอดภัย แต่ผลจากการยอมสละผลตอบแทนสูง ซึ่งมีความเสี่ยงสูง ปรากฏว่า 50 ปีให้หลัง เงินรางวัลที่จ่ายออกไป บวกกับค่าใช้จ่ายในกิจกรรมของกองทุน เงินทุนของกองทุนรางวัลโนเบลหดหายไปถึงสองในสาม และเมื่อถึงปี พ.ศ. 2496 เงินกองทุนก็ลดลงเหลือเพียง 3,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น
คณะกรรมการบริหารกองทุนรางวัลโนเบล พอเห็นเงินกองทุนร่อยหรอลง ค่อยตระหนักถึงความสำคัญของการลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนอย่างเต็มเม็ดเต็ม หน่วย เมื่อปี พ.ศ. 2496 จึงแก้ไขข้อบังคับกองทุน จากเดิมซึ่งอนุญาตให้ฝากเงินธนาคารกับซื้อพันธบัตร เปลี่ยนเป็นลงทุนในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก
ผลจากการเปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุน ช่วยพลิกสถานะทางการเงินของกองทุนรางวัลโนเบล หลังจากนั้นเป็นต้นมาสามารถจ่ายเงินรางวัลโนเบลตามเดิมติดต่อกัน 40 ปี เมื่อถึง พ.ศ. 2536 ทางกองทุนไม่เพียงทำกำไรในส่วนที่ขาดทุนไปกลับคืนมา สินทรัพย์สุทธิของกองทุนรางวัลโนเบลยังสุงถึง 270 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
ถ้าหากไม่เปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุน ยังคงฝากเงินไว้กับธนาคารเป็นหลัก ทุกวันนี้คงไม่มีปัญญาจ่ายเงินรางวัล และคงจะล้มหายตายจากโลกไปแล้ว
จากบทเรียนของกองทุนรางวัลโนเบล ทำให้กองทุนของสหรัฐอเมริกาจำนวนมากเปลี่ยนแปลงวิธีการลงทุน แทนที่จะฝากเงินกับธนาคารหรือซื้อพันธบัตร จึงพากันหันไปซื้อหุ้นและถือครองอสังหาริมทรัพย์แทน
คุณๆอยากให้เงินทองที่หามาด้วยความยากลำบากผ่านไปอีกหลายสิบปี กลับหดตัวเหมือนกับกองทุนโนเบลในระยะแรก หรือเติบโตแบบก้าวกระโดดในภายหลัง?
ปัญหาอยู่ที่คุณลงทุนในรูปแบบอะไร ถ้าหากยังฝากเงินไว้กับธนาคาร รู้ตัวตอนนี้ยังไม่สาย กองทุนรางวัลโนเบลเพียงปรับเปลี่ยนแนวความคิดในการลงทุน ทุกอย่างก็พลิกฟื้นดีขึ้น และอยู่รอดปลอดภัยจนถึงทุกวันนี้
ที่มา : www.thaivi.org